KEY
POINTS
เมื่อตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 2/2568 ที่ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้าถูกเปิดเผย พร้อมกับการตัดสินใจเอกฉันท์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.50% สิ่งที่ปรากฏชัดเจนไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีบนกระดาษ แต่เป็นความจริงที่น่าเป็นห่วงของเศรษฐกิจไทยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
แม้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะปรับประมาณการจีดีพีปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2% จากเดิม 1.8% แต่ตัวเลขนี้ยังคงสะท้อนถึงการเติบโตที่อ่อนแอ เมื่อเทียบกับศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ ตามที่เลขานุการ กนง. ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันไม่ดีอยู่แล้ว” และการเติบโต 2% กว่านี้ถือว่า “โตตํ่า หากเทียบกับศักยภาพของประเทศเราที่โตไป 2% ปลายๆ หรือระดับ 3%”
คำยอมรับนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ เพราะหมายความว่าเศรษฐกิจไทยกำลังทำงานตํ่ากว่าศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาประเทศ
สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าตัวเลขการเติบโต คือ ปัญหาโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ การที่ กนง. ตัดสินใจลดดอกเบี้ยแบบเอกฉันท์นั้น ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวม แต่เกิดจากความกังวลต่อกลุ่มเปราะบางที่กำลังขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และประชาชนรายได้น้อยที่มีรายได้ตํ่ากว่า 30,000 บาท
ข้อมูลที่เผยแพร่แสดงให้เห็นว่า สินเชื่อสำหรับ SMEs หดตัวต่อเนื่อง สะท้อนถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากลำบากขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อก็เริ่มด้อยลง หนี้เสียเริ่มกระจายไปยังกลุ่มรายได้สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่การชะลอตัวของเศรษฐกิจชั่วคราว
ภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่มีต่อไทย และ มาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ กำลังสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย แม้ความชัดเจนของนโยบาย จะช่วยลดความกังวลในระดับหนึ่ง แต่ผลกระทบระยะยาวต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง
ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย ก็กำลังเผชิญกับความท้าทาย การชะลอตัวของกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ในไตรมาส 2 สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ไม่เป็นไปตามคาด
ธนาคารแห่งประเทศไทยยอมรับว่า เศรษฐกิจในประเทศอาจแผ่วลงจากภาคการท่องเที่ยวที่ลดลง และผลกระทบไม่จำกัดแค่การท่องเที่ยวโดยตรง แต่รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ส่วนใหญ่เป็นอาชีพอิสระเมื่อการท่องเที่ยวคิดเป็น 11-12% ของแรงงาน การลดลงของรายได้จากภาคนี้ ย่อมกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนในวงกว้าง
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ แม้จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีถึงความพร้อมของ กนง. ในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แต่ ธปท. เองก็ยอมรับว่า ประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายการเงิน จะลดลงเรื่อยๆ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับที่ตํ่า
ตัวเลขและข้อมูลทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยต้องการมากกว่าแค่การปรับลดดอกเบี้ย ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน และการกระจายผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียม
การที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์กระจุกตัว ในขณะที่กลุ่มที่ปรับตัวได้ยากมีจำนวนมาก และกระจายตัววงกว้าง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ท้ายที่สุด ตัวเลขต่างๆ ที่เราเห็นไม่ใช่แค่สถิติเย็นชา แต่เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเศรษฐกิจไทย ที่กำลังดิ้นรนเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่ง การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยมากกว่าเครื่องมือทางการเงิน ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ และนโยบายที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพที่แท้จริง
บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,124 วันที่ 21 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568