KEY
POINTS
อันว่าพะเนียดหรือเพนียดนี้ สำหรับงานช้าง ก็คือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นคอกขนาดใหญ่มีกลไกประตูออโตเมติกสร้างขึ้นจากหลักการแรงโน้มถ่วงของโลกเรียกว่าประตูโตงเตง คือเอาซุงทั้งต้นมาแขวนให้มันหุบลงเองได้เมื่อช้างผ่านเข้าไปในคอกพะเนียดเเล้วกลับออกไม่ได้
เมื่อไล่ต้อนช้างเข้ามาในเพนียด มนุษย์ที่อยู่ในเพนียดก็จะได้คัดเลือกเอาว่าตัวไหนเหมาะ ตัวไหนอยากได้ ก็จะได้ล็อกตัวนั้นเอาไว้ปล่อยให้ตัวที่ไม่ต้องการออกนอกประตูพะเนียดกลับบ้านไป ซอกพะเนียดมีที่ให้คนหลบ ใช้เสียงตะคอก ใช้หอกทิ่มแทง เพื่อสยบกิริยาอันอันตรายบ้าคลั่งของช้าง ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องของ ปจว.- ปฏิบัติการทางจิตวิทยา ให้ช้างคิดไปเองว่าทุกครั้งที่มีเสียงตะโกนข่มแล้วเจ็บ แปล๊บแปล๊บ จะระลึกได้ว่ามนุษย์ตัวเล็กนี่มีพิษสงมาก เป็นสัตว์ที่อันตราย เมื่อบังคับขู่เข็ญอย่างไรแล้วต้องเชื่อฟัง ทั้งที่ที่จริงแล้วตัวเองก็ใหญ่กว่าเขามาก พละกำลังก็มหาศาลและสามารถทำอันตรายแก่เขาได้ง่ายแต่เมื่อถูกปั่นประสาทเสียแล้วก็..นะ
งานสถาปัตยกรรมของพะเนียดทั้งนกเขาและโดยเฉพาะช้างนั้นทรงคุณค่าและเต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาของบรรพชนผู้เก่งกล้าและศึกษาลึกซึ้งถึงพฤติกรรมธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทั้งช้าง ทั้งคนและสิ่งที่เหนือช้างเหนือคน
พะเนียดใช้ซุงทั้งต้นปักลงดิน หัวเสาที่ชี้ฟ้าเหลาให้กลมเรียวมนอย่างศิวลึงค์ มีการเซาะร่องรอบคอเสาด้วยสองชั้น ผู้สังเกตการณ์ในทางธรรมชาติวิทยาทั่วไปบอกว่าต้องทำอย่างนี้เพื่อแก้ปัญหาฝนตกแล้วน้ำฝนซึมเข้าในซุงทำให้เนื้อไม้กร่อนผุ
ถ้าว่าไม่ทำแบบมนใช้ซุงหัวตัดทั่วไปน้ำฝนจะซึมเข้าง่าย ซึ่งก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในพม่านั้นเมืองเก่าของเขา บ้านใครพระราชวัง แม้กระทั่งวัด ที่ใช้ซุงทำเสาปักลงไปที่แจ้ง บริเวณหัวซุงนั้นจะต้องใช้ก้อนหินใหญ่วางทับให้มิด เพื่อตัดตอนไม่ให้มีน้ำฝนมาขังหรือซึมเข้าที่หัวท่อนซุงได้โดยตรง
แต่ในทางศาสตร์ลึกลับของสายวิชาช้างที่นับถือพระอีศวรเมื่อคราวปราบพญาช้างอสูรร้าย กล่าวกันว่าจะต้องทำศิวลึงค์หรือรูปลึงค์ของพระองค์ท่านล้อมไว้เพื่อความศักดิ์สิทธิ
ศิลปะการทำเสาพะเนียดหัวมนชนิดนี้หากท่านผ่านแถบจังหวัดกำแพงเพชร มีโรงงานผลิตเครื่องดื่มตราช้างอยู่ขวามือด้านหน้าก็จะมีรั้วแดงตั้งเสาพะเนียดหัวมนตั้งแสดงอาณาเขตไว้เช่นกันงดงามมาก ส่วนความลึกลับประเภทว่าตราสิงห์มาก่อน ตราช้างมาทีหลัง ต้องใช้สัตว์ขนาดใหญ่ที่จะรบกันได้ในการวางตัวเป็นคู่แข่งกัน ก็ยังคงเป็นเรื่องลึกลับอยู่ในวงการเครื่องดื่ม ซึ่งก็ควรปล่อยให้ลึกลับต่อไป 55
ถามว่าพระอีศวรท่านมาเกี่ยวข้องกับการจับช้างตรงไหน ก็ต้องพาท่านแวะไปที่เขาพระวิหาร ที่ปราสาทพระวิหาร มีรูปแกะสลักของพระอีศวรกำลังมีรูปแกะสลักของพระอีศวรกำลังปราบ “คชาสูร” หรือ อสูรในรูปช้าง ด้วยการใช้พระบาทเหยียบไว้ที่หัวช้างแล้วถลกหนังคลี่ขึ้นมาจับแผ่ออกคล้ายเป็นผ้าคลุม_หวาดเสียว เรียกให้ไพเราะว่า “คชาสุรสังหารมูรติ”
ตามเรื่องเล่าในคติของพราหมณอินเดีย ระบุว่า พระอิศวรได้ปราบรากษส ที่ปรากฏกายในรูปของช้าง ซึ่งมาข่มขู่พวกพราหมณ์ที่กำลังบูชาศิวลึงค์ (คือ ลึงค์ของพระอิศวร) อยู่ที่เมืองพาราณสีด้วย
ส่วนแผนประทุษกรรมการสังหารนั้นท่านเริงระบำงดงาม แล้วกรีดของมีคมลงตามจังหวะฟ้อน จนถลกเอาหนังช้างไปห่มคลุมพระวรกายของตนเองได้ทั้งหมด ดังนี้ (ซึ่งจะดูไปก็ อารมณ์เดียวกันกับฉากที่ปรากฏในภาพยนตร์สยองขวัญชุด อำมะหิตไม่เงียบ- Silence of The Lambs นำแสดงโดยเซอร์แอนโทนี ฮอบกินส์ ในตอนกำลังหลอกล่อให้มหาเศรษฐี เมสัน เวอร์เจอร์ ผู้กำลังหลอนยา ถลกหนังหน้าตัวเองด้วยเศษกระจกคมบาด_บรื๋อว์)
“คชาสูรสังหาระ มูรติ-คช (คะชะ) อสูราสังหาระมูรติ” (Gajasurasamhara Murti) นี่ท่านถือกันว่าคือชื่อเหตุการณ์ “มูรติ” ที่สำคัญในวรรณกรรมฮินดู ตอนพระศิวะสังหารอสูรช้างบนความงดงามแห่งนาฎกรรม อันเป็นเรื่องราวในวรรณกรรมฮินดูไศวะนิกายที่นิยมกันในเขตอินเดียใต้ปรากฏในงานศิลปะยุคราชวงศ์ปัลลวะต่อเนื่องมาถึงยุคราชวงศ์โจฟัะ ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 13 นับเปน “ศิวนาฏราช” ปางหนึ่ง 8 - 12 กร ร่ายรำอยู่ท่ามกลางหนังช้างดำที่ถูกถลกขึ้นมาล้อมรอบประดับปราสาทของวัดฮินดูหลายแห่งในเขตรัฐทมิฬนาดูล จนถึงในปัจจุบัน
ในวรรณคดีทางศาสนา “ผู้มีหนังเป็นอาภรณ์” เป็นหนึ่งในบทสวดสำคัญของพระเวทเพื่อการสักการบูชาพระศิวะ ตามคัมภีร์ “ทิวาราม” (Tevaram) ซึ่งชื่อนาม “ผู้สวมหนังช้าง” หรือ “สหอสูรานาม” ก็คือพระนามหนึ่งในหลายพันพระนามขององค์พระศิวะ
กลับมาที่พะเนียดหลวงของเราบ้าง ที่กลางพะเนียดตั้งเทวรูป พระวรกายสีแดงฉานองค์หนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปว่าคือพระพิฆเนศร์ประดิษฐานอยู่แต่ชาวช้างหลวงว่า ท่านคือพระประสันนคณบดีพระพักตร์เหมือนพระคเณศร์ เปนเทวรูปยืน สีกายแดงดังเลือดนก มีสี่กร กรหนึ่งถือขอช้าง กรหนึ่งถือเชือกบาศ อีกสองกรเปนท่าประทานพรและท่าประทานอภัย ว่ากันว่าแปลกประหลาดนักที่ปวงช้างป่าที่หลุดเข้าพะเนียดมาเเล้วเมื่อมาอยู่ต่อหน้าพระรูปท่าน จะสงบกิริยา บางตัวถึงกับยองวงยกคารวะ
อีทีนี้เมื่อช้างโขลงทั้งเล็กใหญ่ชายหญิงเข้าสู่พะเนียดเรียบร้อยแล้ว คุณพระเล่าว่าทีมงาน “ข่า (ชาวข่า/ขมุ) เปนตะพุ่นหญ้าช้างมีหมื่นนนท์รักษาเป็นหัวหน้า จะนำหญ้าบ้างใบไม้บ้างมาทอดให้ช้างเถื่อนกิน” “ตกค่ำพวกมอญกองไฟมีสมิงสิทธิมนตราเปนหัวหน้าจะมาตั้งกองไฟ กองละ 4 คน มีหอกเปนอาวุธสำหรับแทงช้างที่จะชนคอก มีเกราะเคาะรับกันตลอดคืน”
ที่นี่ก็จะถึงคราวที่สนุกกับการเล่าเรื่องไปต่อว่ากรณีของตะพุ่นนั้นก็ไม่ใช่อาชีพธรรมดา ถือเป็นหนึ่งในสหวิชาชีพของกระบวนการจับช้างซึ่งไม่ใช่มีเฉพาะวิชาของสายฝ่ายไทยแต่เพียงเท่านั้น
คำว่าตะพุ่นก็เป็นชื่อ กรมโบราณกรมหนึ่ง มีหน้าที่หาอาหารให้ม้าช้าง เรียกตะพุ่นหญ้าช้าง ตะพุ่นหญ้าม้าบุคคลที่ทำราชการแล้วมีปัญหาหงุมหงิม ท่านมักจะส่งไปอยู่เป็นหญ้าช้างกรมตะพุ่น ถือเป็นการลดชั้น และต้องทำงานหนักแต่ไม่ถึงกับเจ็บกับตาย โดยมากจะเปนผู้ประพฤติผิดกฎมณเฑียรบาล หรือผู้ละเมิดกฎหมายอาญาหลวง (ละเมิดพระราชโองการ พระราชเสาวนีย์) เช่นว่า ไม่ตั้งใจทำศึก (ใจเสียง่าย) โต้เถียงขุนดาบ (ปากดี) ตีนายประตูวังชั้นใน (มือไว) พูดจาจับมือถือบ่าสาวใช้ฝ่ายใน(ใจรุ่มร้อน) ฯลฯ
ส่วนว่าหัวหน้าหน่วยตะพุ่นที่เปนชาวข่า คือหมื่นนนท์รักษานั้น ประวัติของชาวขะมุหรือชาวข่าก็เป็นที่น่าสนใจและควรบันทึกไว้ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาอยู่บริเวณดินแดนล้านช้างตัวล่ำสัน กล้ามเนื้อสวยงาม กล้ามมัดขาใหญ่กว่าคนอื่น มีวิชาการเลี้ยงช้างจับช้างติดตัวมามาก ชั่วแต่ว่าเป็นคนซื่อและวิทยาการทันสมัยเข้าไปไม่ถึงการดำรงชีวิตของพวกเขามากนัก การออกจากบ้านมาเพื่อหางานทำตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจึงมักถูกคนรู้มากกว่าเอาเปรียบเรื่อย
คำว่า “ข่า” นี้ ปวงเขาถูกเรียกโดยชนชั้นนำฝ่ายลาวล้านช้าง แปลว่า ‘ข้า_ทาส’ แต่กับปวงเขาแล้วเรียกตนเองว่า “ขมุ” หรือ “กำมุ” แปลว่า “คน” และ “บรู” แปลว่า “ภูเขา” หรือ “คนภูเขา” ปวงเขานี้ไม่นับถือศาสนา แต่บูชาวิญญาณ เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างสมถะลึกซึ้งกับธรรมชาติ จึงมีเหลือเงินเก็บจากรายได้มากกว่าใครเพราะใช้จ่ายน้อยประหยัดมาก เรื่องเล่าจากการกองต้าที่ลำปาง ระบุเอาไว้ว่าสาวชาวเมือง ชอบไปเป็นแฟนกับหนุ่มขมุเพราะมีสตางค์เยอะกว่าคนเมือง จนต้องมีศิลปินแต่งค่าวคำซอสอนใจ
พวกชาวเขาเหล่านี้ เมื่อครบสัญญาว่าจ้างการทำงานสาม-สี่ปีก็มักจะกลับคืนถิ่นบนภูเขา แต่ทว่าก็ไม่ได้เอาเงินถุงเงินถังไปด้วย กลับเอาไปซื้อฆ้องราคาแพง ที่พวกกะเหรี่ยงแดง ทำขายโดยให้ความเห็น อย่างเป็นปรัชญากับอัมพร ฑีระขะ ไว้ว่า “ถ้าเราเอาเงินกลับไปบ้าน เงินก็เหลือน้อยลงทุกวัน และในที่สุดก็หมดไป ส่วนฆ้องนั้นเราเก็บเอาไว้ได้ ทั้งยังได้ฟังเสียงอันไพเราะของมันได้ทุกวัน”
กลับมาที่อาชีพ “ตะพุ่นหญ้าช้าง” ซึ่งต้องไปหาหญ้าและพืชผักมาให้ช้างกินตามระเบียบแล้ว ตะพุ่นหญ้าช้างไม่มีรายได้ใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ข้าวปลาอาหารการกินก็ต้องไปเอาจากที่บ้านมากินเอง 55 _หนักไหมล่ะ
การทำงานออกไปเกี่ยวหญ้าหาพืชผักต้องเริ่มต้นตั้งแต่เช้าได้หญ้าได้ใบไม้อาหารของช้างมาแล้วก็ต้องแบกหามกลับมาที่โรงช้าง เวลาควาญนำช้างออกไปอาบน้ำที่แม่น้ำตะพุ่นก็ต้องตามไปอาบน้ำให้ช้างด้วย เมื่อช้างกลับเข้าโรงแล้วจึงจะเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน
การถูกลงโทษให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้างจะเรียกว่าเป็นโทษหนักก็ไม่ถนัดปาก เพราะไม่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน แม้จะมีอิสระสามารถออกไปสู่โลกภายนอกได้ เวลาไปเกี่ยวหญ้าหาอาหารให้ช้าง แต่จะฉวยโอกาสหนีไปอยู่กับลูกเมียที่บ้านชั่วพักชั่วคราวไม่ได้ เนื่องจากมีผู้คุมของกรมตะพุ่นตามไปคอยกำกับดูแล
สิ่งที่ชาววังกลัวกันมากคือการถูกพิพากษาลงโทษให้เป็นหญ้าช้างตลอดชีวิต เพราะงานมันไม่มีหยุดมือ ช้างแต่ละตัวก็หิวอยู่ตลอดเวลาแล้วมีตัวเดียวซะที่ไหน! ส่วนในกรณีของท่านสมิงสิทธิมนตรา อันนี้ก็ยืนยันได้เลยว่าท่านถือวิชาช้างฝ่ายมอญมาร่วมงาน การที่คนไทยออกเสียงเรียกขุนนางมอญ/เจ้านายมอญว่าสมิงนั้น ดูน่ากลัวเหมือนกับเสือสมิงแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เสือสมิงมาจากคำว่าสิงในภาษาขอม
ส่วนสมิงของมอญ ไทยออกเสียงเพี้ยนมาจาก “เสมิญย์” ในภาษามอญ หมายถึง พญา พระยา ฯพณฯ บางครั้งใช้เรียกขุนนางชั้นสูง เจ้านาย หรือกษัตริย์ด้วย นอกจากนายทหาร ส่วนบรรดาศักดิ์จะเทียบกับฝ่ายไทยคงจะพูดยาก ว่าลำดับประมาณเท่าใด พิสัยในการเรียกขานกว้างมาก
เมืองพระประแดงมีเจ้านายมอญซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก กอกษัตริย์หงสาวดีอยู่มาก เมืองนี้จึงมี “สมิง” มากด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาชาวมอญมีชื่อเมื่ออพยพเข้ามา ก็มีพระมหากรุณารับไว้ให้ทำราชการฝ่ายต่างๆโดยเฉพาะฝ่ายทหาร
สมิง มีราชทินนามไพเราะ ดังต่อไปนี้ สมิงไชยสีหะ, สมิงเทวะสงคราม, สมิงรามอาวุธ, สมิงพิมุขมนตรา, สมิงคงคาเขื่อนเพชร, สมิงสำเร็จอักษร, สมิงรามรณเดช, สมิงมหาปราบ, สมิงปราบใหญ่, สมิงปราบหงษา, สมิงสามปราบ, สมิงปราบพยัคฆา, สมิงกล้ากลางเมือง, สมิงราชาเทวะ, สมิงชำนาญอักษร, สมิงทำนายอักษร, สมิงสุรสงคราม, สมิงจักรนาวา, สมิงอาษาสงคราม ฯลฯ