ความเหมือนของศรีลังกากับไทย

18 ก.ค. 2565 | 03:00 น.

ความเหมือนของศรีลังกากับไทย บทความพิเศษโดย : สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ผมเข้าใจว่าตอนนี้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ข่าวที่ว่าประเทศศรีลังกาที่มีพลเมือง 22 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเหมือนคนไทย กำลังจะล่มสลายด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่แทบจะไม่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่เลย ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
 

ประเทศไทยเราเอง ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว ก็มีสภาพคล้ายกับศรีลังกาขณะนี้ คือ ต้องเผชิญกับน้ำมันแพง และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหรอลงมากเต็มที แต่ประชาชนก็ยังไม่เดือดร้อนแบบตอนนี้ เพราะตอนนั้นเป็นสมัยต้นๆ ของรัฐบาลที่มีท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีท่านรัฐมนตรีคลังที่มากด้วยความรู้ความสามารถและเป็นรัฐมนตรีคลังที่ถือได้ว่าซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้ คือ ท่านสมหมาย ฮุนตระกูล เป็นรัฐมนตรีคู่ใจของท่านนายกเปรม ทำให้มีการแก้ปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของไทยจนจบสิ้นในเวลาอันสั้นแค่ไม่ถึง 2 ปีเท่านั้นเอง
 

ผมจำได้ว่าการดำเนินการแก้ไขเป็นไปด้วยดี แม้รัฐบาลต้องทำการลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แต่ประเทศไทยตอนนั้นยังสามารถไปกู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศได้ และทางธนาคารโลกก็ได้เข้ามาช่วยเหลือโดยการให้เงินกู้มาก้อนใหญ่เพื่อเสริมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเราให้มีความมั่นใจว่าไทยเรายังพอมีเงินจ่ายค่าน้ำมันที่ต้องนำเข้าได้ ไม่ถึงกับ ไอ เอ็ม เอฟ ต้องมานั่งกำกับชี้นิ้วให้ทำโน่นทำนี่เหมือนประเทศศรีลังกาขณะนี้ หรือเหมือนประเทศไทยสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540

 

ตามสภาพที่เห็น คนทั่วไปเข้าใจว่าศรีลังกาต้องล่มสลายและต้องกระเสือกกระสนอย่างน่าสมเพชไปอีกนาน เพื่อเอาประเทศให้รอดในขณะนี้ ก็เพราะเศรษฐกิจของเขาต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวถึง 40% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวในระดับไม่เกิน 15% ของ GDP เมื่อเจอโควิด-19 เล่นงานหนักต่อเนื่องถึง 3 ปี ศรีลังกาก็ถึงกับทรุดลุกไม่ขึ้น
 

นอกจากเรื่องต้องพึ่งการท่องเที่ยวอย่างหนัก คนส่วนใหญ่ก็ได้เห็นต้นตอของการล่มสลายครั้งนี้ว่ามาจากการเมืองที่ผูกขาดและครอบงำโดยคนศรีลังกานามสกุล "ราชปักษา" มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งการทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบานไปทั่วประเทศ ผมว่าเรื่องนี้คนไทยก็ได้นำมาเปรียบเทียบว่าคงไม่ต่างกับประเทศไทย ที่นักการเมืองของเราเป็นคนนามสกุล "ชุดสีเขียวขี้ม้า" ได้ปกครองและครอบงำประเทศไทยมาหลายยุคหลายสมัย รวมเวลาแล้วก็ยาวนาน และทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบานและขยายตัวไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นหนทางที่จะเจือจางลงแต่อย่างใด นักการเมืองของศรีลังกากับของไทยจึงไม่ต่างกันในเรื่องคราคร่ำไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น ว่าแต่ว่าของไทยน้ำยังลดไม่ต่ำพอ ตอจึงยังไม่ค่อยผุดให้เห็นชัดๆ

 

การล่มสลายของประเทศศรีลังกาครั้งนี้ แน่นอนที่สุดหากไม่ยอมให้เป็นอัมพาตก็ต้องร้องขอความช่วยเหลือไปที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอ เอ็ม เอฟ เช่นเดียวกับประเทศไทยเมื่อครั้งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540 นี่เป็นสูตรตายตัวที่ต้องใช้กับทุกประเทศเมื่อเจอวิกฤตแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอาร์เจนตินาในละตินอเมริกา หรือประเทศไหนๆ ในโลกก็เป็นแบบเดียวกัน
 

กรณีประเทศศรีลังกาปรากฎว่า ไอ เอ็ม เอฟ ได้เข้าไปจัดการตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ทันทีที่รับงาน ไอ เอ็ม เอฟ ก็ได้ออกแถลงการณ์เน้นให้เห็นถึงเรื่องสำคัญสุดๆ ที่จะต้องทำการแก้ไขหากจะให้ศรีลังกากลับฟื้นขึ้นอีกครั้ง คือ การปฏิรูปในระดับโครงสร้าง และการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น


จะเห็นได้ว่าเรื่องที่ ไอ เอ็ม เอฟ ตั้งเป้าหมายหลักที่จะทำนั้นคล้ายคลึงกับการเข้ามาแก้ปัญหาไทยในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาก แต่เรื่องการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น กรณีของไทยเขาไม่ได้เน้นชัดเหมือนของศรีลังกา แต่ได้เน้นเรื่องการต้องมีธรรมาภิบาลแทน ซึ่งเข้าใจได้ว่าในช่วงนั้น ไอ เอ็ม เอฟ ได้เห็นความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารราชการของรัฐบาลท่านพลเอกเปรม เมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น อาจคิดว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ใช่ตัวปัญหาหลักของไทย โดยหาได้เฉลียวใจไม่ว่าหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดัชนีคอร์รัปชั่นระดับโลกของประเทศไทยได้เพิ่มจากประเทศอันดับต่ำกว่า 70 เป็นประเทศอันดับเกิน 100 อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเค้าว่าจะลดน้อยถอยลงให้เห็น
 

เมื่อท่านผู้อ่านได้รับรู้สิ่งที่ผมได้แสดงความเห็นมาถึงตรงนี้ โปรดเข้าใจให้ตรงประเด็นว่าผมไม่ได้พูดว่าไทยขณะนี้จะมีปัญหาเหมือนศรีลังกา แต่ขอให้ตระหนักว่าพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่บริหารประเทศชาติอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแบบศรีลังกาได้ในอนาคตที่ไม่นานเกินรอ และยังมีความเสี่ยงอีกมากที่ประเทศเราละเลยไม่เอาใจใส่ มีแต่ทีท่าว่าจะเอาใจใส่เท่านั้น ไม่มีอะไรดีๆ ที่จริงจังให้ประชาชนจับต้องได้ หรือแม้แต่การสร้างความหวังในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน
 

สิ่งที่เป็นความเสี่ยงมากที่สุดของรัฐบาลไทยในขณะนี้ หรือในอนาคตที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นผู้นำของประเทศก็ตาม คือ ความยากไร้ด้านการคลังของภาครัฐ ซึ่งจะมีแต่ความฝืดเคืองและเพิ่มความอึดอัดในการหาเงินมาบริหารจัดการเพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีของชนในชาติโดยรวม การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะจากร้อยละ 60 ของ GDP เป็นร้อยละ 70 ของ GDP ของรัฐบาลเมื่อเร็วๆ นี้ ยังไม่ใช่ช่องทางที่เอื้อให้รัฐหาเงินมาเติมในงบประมาณรายจ่ายให้คล่องตัวได้ตามที่คิด ซึ่งจะขอนำเรื่องนี้มาวิเคราะห์ให้เห็นในโอกาสหน้าต่อไปครับ