เมื่อประชาชน สั่งสอนพรรคพลังประชารัฐ

19 ม.ค. 2565 | 09:00 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

     ผลการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ คือ จ.ชุมพร เขต 1 และ จ.สงขลา เขต 6 ได้ปรากฏผลแล้ว แม้จะยังไม่ใช่ผลเป็นทางการ แต่ผลจากการนับคะแนนจากทุกหน่วยเลือกตั้ง ก็บอกให้ทราบแล้วว่า ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายอิสรพงษ์ มากอำไพ จ.ชุมพร และ นางสาวสุภาพร กำเนิดผล จ.สงขลา เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง รอเพียงการรับรองผลการเลือกตั้ง และประกาศเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เท่านั้น ทั้งสองท่านก็จะได้เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยต่อไป

 

     การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นการเลือกตั้งซ่อมแทน ส.ส.สองท่านที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ คือ คุณชุมพล จุลใส หรือ ลูกหมี ส.ส.เขต 1 จ.ชุมพร และ คุณถาวร เสนเนียม ส.ส.เขต 6 จ.สงขลา ด้วยเหตุที่สองท่านนี้หลุดจากตำแหน่ง ส.ส. เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ จากเหตุถูกศาลอาญาพิพากษาในคดีอาญาให้ลงโทษจำคุกและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และศาลออกหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกา โดยถูกควบคุมหรือคุมขังตามหมายของศาล ก่อนได้รับการประกันตัวและปล่อยชั่วคราว ในคดีอันเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส.

     ซึ่งเหตุที่ ส.ส.ทั้งสองท่านต้องหลุดพ้นจากตำแหน่ง มาจากสาเหตุที่ทั้งสองคนเสียสละเป็นแกนนำของกลุ่ม กปปส. นำประชาชนต่อสู้กับ "ระบอบทักษิณ" ขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบยกเข่ง ล้างผิดให้ทักษิณและคนโกง จนเหตุการณ์นำมาสู่การยึดอำนาจโดย คสช. ทำให้มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทำให้มีพรรคพลังประชารัฐ ได้กำเนิดขึ้นจนมีอำนาจทางการเมืองเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน เรียกว่า ถ้าไม่มี กปปส.ในวันนั้น ก็ไม่มี ประยุทธ์, ประวิตร, อนุพงษ์ พี่น้อง 3 ป.ในวันนี้นั่นเอง

 

     การที่ ส.ส.ชุมพล จุลใส และ นายถาวร เสนเนียม ต้องพ้นจากตำแหน่งมีสาเหตุมาจากที่ทั้งสองท่าน เป็นแกนนำ เสียสละต่อสู้เพื่อประชาชน เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง มิได้ใช้อำนาจไปโกง หรือ ทุจริตคิดชั่วกับบ้านเมืองแต่อย่างใด และพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

     แต่เมื่อตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง มีการเลือกตั้งซ่อมแทน ส.ส.ในเขตพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ร่วมรัฐบาล ต่างประกาศไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน เพราะรักษามารยาทของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นประเพณีปฎิบัติที่พรรคร่วมรัฐบาลถือปฎิบัติต่อกันมา และเป็นการให้เกียรติพรรคเจ้าของพื้นที่ ด้วยความเข้าใจดีถึงเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องสูญเสีย ส.ส.ทั้งสองท่านไป ด้วยเหตุผลทางการเมืองดังกล่าว จึงไม่มีพรรคการเมืองใดในปีกฝ่ายรัฐบาลส่งคนลงเลือกตั้งแข่งขันกับผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการซ้ำเติมเพื่อน

 

     คงมีเพียงพรรคพลังประชารัฐ ทั้งๆ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลแท้ๆ กลับดื้อรั้นส่งคนลงสมัครแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชนิดแบบแพ้ไม่ได้ ประกาศตนหมายมั่นจะช่วงชิงเอาชนะให้ได้ โดยทุ่มเทสรรพกำลังในพรรคลงพื้นที่ รวมถึงข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบลงพื้นที่ช่วยหาเสียงหรือปฏิบัติการอื่นๆ อีกด้วย

 

     ในการหาเสียงทั้งหัวหน้าพรรค, เลขาธิการพรรค, ผู้บริหารพรรค และ ส.ส.พลังประชารัฐ แห่กันลงไปช่วยผู้สมัครพลังประชารัฐ สุดตัว แบบมารยาททางการเมือง ประเพณีปฏิบัติ ไม่รู้จัก ไม่มีในความคิดกันเลย แม้ว่าในการเลือกตั้งแทน ส.ส.นายสิระ เจนจาคะ เขตหลักสี่ กทม.ซึ่งเป็นเขตหัวใจของพรรคประชาธิปัตย์แท้ๆ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงมารยาทและสปิริตไม่ส่งคนลงสมัคร แต่ดูเหมือนพลังประชารัฐกลับมิได้สำเหนียกในเรื่องนี้แต่อย่างใด

 

     การเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ กลายเป็นการสู้กันเองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล คือ ประชาธิปัตย์ กับ พลังประชารัฐ จึงทำให้คนใต้รู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกรังแก ถูกซ้ำเติมจากพรรคแกนนำรัฐบาล ถูกเพื่อนขุดฐานกำแพงบ้าน เตะตัดขา ทำการเมืองแบบเอาเปรียบ และไม่ให้เกียรติกัน รวมถึงไม่เห็นแก่คุณงามความดีของแกนนำ กปปส.ทั้งสองท่าน ที่ต้องหลุดจากตำแหน่งไปโดยไม่เป็นธรรม

เมื่อประชาชน สั่งสอนพรรคพลังประชารัฐ

     เพราะถ้าไม่มี กปปส.ในวันนั้น พลังประชารัฐ และรัฐบาลปัจจุบัน จะได้เกิดหรือไม่ นักการเมืองทั้งหลายเหล่านั้นจะได้ชูคอในวันนี้ได้หรือไม่ นี่คือความรู้สึกของคนใต้ แม้จะเคยงอนพรรคประชาธิปัตย์ หันไปเลือกพรรคอื่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้กลับมาเปลี่ยนความคิดใหม่ ประกอบกับการปราศรัยของเลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ ที่ยกเรื่อง “ความรวยความจน” มาพูด ทำลายความรู้สึกคนใต้ ประชาชนจึงหันมาเห็นใจพรรคประชาธิปัตย์ เหตุปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลถึงการเลือกตั้งดังที่ปรากฏ คนใต้จึงแห่กันออกไปใช้สิทธิ์ เลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับชัยชนะ

 

     การที่ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์จำนวนมาก ด้วยการเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่พรรคคู่แข่งทุ่มเททุกสรรพกำลัง ดำเนินกลยุทธ์ในทุกรูปแบบเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถเอาชนะได้นั้น ย่อมเป็นสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนใต้เข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดี พวกเขาสนใจติดตามข่าวสารและรับฟังการปราศรัยของพรรคการเมืองต่างๆ แล้วนำมาคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง จึงไม่ง่ายที่ใครๆ จะมาจูงจมูกพวกเขาได้ จึงเชื่อได้ว่าการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม ประชาชนต้องการคืนความเป็นธรรมแก่อดีต ส.ส. ที่เป็นเจ้าของพื้นที่อยู่เดิม โดยเลือกสนับสนุนผู้ที่อดีต ส.ส.สองท่านสนับสนุน และที่สำคัญประชาชนต้องการให้โอกาสแก่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสั่งสอนพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่รักษามารยาททางการเมือง ให้ได้รับบทเรียนนั่นเอง

 

     ดังนั้น การแพ้การเลือกตั้งแล้วโวยวาย หาว่าพรรคอื่นโกง ทำตัวเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี ไม่มีน้ำใจนักกีฬา จึงมีแต่ทำให้พรรคพลังประชารัฐ ตกต่ำเสื่อมความนิยมหนักลงไปอีก ปรากฏการณ์การเลือกตั้งในภาคใต้ครั้งนี้ อาจส่งผลถึงการเลือกตั้งซ่อมใน กรุงเทพฯ และในจังหวัดอื่น ที่กำลังจะตามมา ทำให้ “พลังประชารัฐ” อาจพบความพ่ายแพ้อีกได้ ถ้ายังมีท่าทีและเดินเกมการเมืองแบบนี้ พรรคร่วมรัฐบาลแม้ไม่ส่งผู้สมัคร แต่ก็ไม่มีใครอยากช่วย นี่คือบทเรียนที่พลังประชารัฐควรทบทวนตัวเอง เพราะการเมืองมีความไม่แน่นอน ขืนเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ และยังจะเล่นไม่เลิก การเลือกตั้งจบแล้วไม่ยอมจบ อาจเกิดเหตุพรรคอื่นๆ หันไปเจรจาจับมือกันตั้งรัฐบาล โดยไม่เอาพลังประชารัฐก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ อย่าคิดว่าพรรคอื่นไม่มีทางเลือก ไม่มีทางไป

 

     บทเรียนจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ได้สอนบทเรียนให้กับนักการเมืองทุกคน และพรรคการเมืองทุกพรรค ทั้งได้ฉายภาพให้เห็นอย่างล่อนจ้อนว่า แต่ละคนแต่ละพรรค มีความคิดและจุดยืนทางการเมืองอย่างไร ใครเห็นแก่ได้ ใครเห็นแก่ตัว ใครเอาเปรียบเหยียบหัวคนอื่น ใครเคารพประชาชน ใครดูถูกประชาชน ใครให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน ใครเอาเปรียบเหยียบย่ำเพื่อนร่วมงาน ผ่านกระบวนการเลือกตั้งทางการเมืองการเมือง แม้จะมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ด้านสะอาดและด้านสกปรกบ้างก็ตาม

 

     แต่คนที่จะมาทำงานการเมืองให้ประสบความสำเร็จ มีความมั่นคงต่อเนื่องยาวนาน คนๆ นั้นต้องเป็นคนจิตใจสะอาด มีความคิดที่ดีงาม เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติ ซื่อสัตย์ต่อประชาชน เคารพและให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน สำนึกในบุญคุณของประชาชน และคนที่เสียสละชีวิตต่อสู้ พลีชีพเป็นสะพานให้ตัวเองก้าวเดิน เป็นนั่งร้านให้ตนปีนป่ายขึ้นสู่อำนาจ หากไร้ซึ่งสำนึกดังกล่าว เขาผู้นั้นย่อมจะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

 

     การเมืองมิใช่เรื่องของผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว มิใช่เรื่องของกุ๊ยอันธพาลที่ไหนก็ขึ้นมามีอำนาจเป็นขุนนางได้ และจะใช้อำนาจอย่างไรตามอำเภอใจ เพียงขอให้ตนชนะเท่านั้นก็พอหาได้ไม่ เพราะโลกนี้สวรรค์มีตา ประชาชนมีสมองและวิจารณญาณ นักการเมืองทั้งหลาย จงอย่าดูถูกประชาชน