ทรัมป์เปิดเกมเอเชีย พบ 'สี จิ้นผิง' จุดกระแส 5 ปมร้อน APEC

24 ต.ค. 2568 | 01:34 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2568 | 01:56 น.

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมเยือนเอเชีย เตรียมพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง การเยือนครั้งนี้ถูกจับตาใน 5 ประเด็นร้อน ตั้งแต่ดีลภาษีจีน ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน ไปจนถึงบทบาทของสหรัฐฯ ต่อภูมิรัฐศาสตร์เอเชียในเวที APEC

KEY

POINTS

  • โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการเยือนเอเชียเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปค โดยมีวาระสำคัญคือการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เพื่อเจรจาลดความตึงเครียดทางการค้าและหารือประเด็นไต้หวัน
  • การเดินทางครั้งนี้ยังครอบคลุมประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค เช่น ความเป็นไปได้ในการพบกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน และความพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
  • นอกจากการหารือกับจีน ทรัมป์จะเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียน และเกาหลีใต้ซึ่งเป็นเจ้าภาพเอเปค ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจากประเด็นภาษีและแรงงาน

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะเริ่มต้นการเยือนเอเชีย ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าจะช่วยคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศในภูมิภาค และซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกร้าวกับจีน ทรัมป์จะเริ่มการเดินทางในวันอาทิตย์ ด้วยการเข้าร่วมการประชุมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะบินต่อไปยังญี่ปุ่นเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซาเนะ ทาคาอิจิ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม จุดหมายสำคัญที่สุดของการเดินทางครั้งนี้จะอยู่ช่วงปลายเดือน เมื่อเขามีกำหนดหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เกี่ยวกับประเด็นการค้า และอาจรวมถึงไต้หวัน ในการประชุมเอเปก (APEC) ที่เมืองคย็องจู ประเทศเกาหลีใต้

จะพบกับ สี จิ้นผิง หรือไม่

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า คาดว่าทรัมป์จะพบกับสี จิ้นผิง ในวันพฤหัสบดีสัปดาห์หน้า (30 ตุลาคม) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเป็นประเด็นพูดคุยระหว่างทั้งสองยังคงเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในวาระการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่คย็องจู โฆษกทำเนียบขาวไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

แต่ประเด็นนี้มีเดิมพันสูง ทั้งสองฝ่ายจึงถูกกดดันให้ลดความตึงเครียดทางการค้าที่เสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายต่อสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทรัมป์เพิ่งเสนอที่จะลดภาษีสินค้าส่งออกจากจีนมายังสหรัฐฯ แต่ย้ำว่าจีนต้องยอมอ่อนข้อเช่นกัน

รวมถึงการกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ การควบคุมการส่งออกสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาเฟนทานิล ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตการใช้ยาเกินขนาดในอเมริกา และการยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น สมาร์ทโฟน

หากไม่สามารถลดความตึงเครียดทางการค้าได้ อุตสาหกรรมสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์อาจเผชิญความเสียหายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงแสดงท่าทีเชิงบวกก่อนการพบผู้นำจีน โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวในสัปดาห์นี้

ผมคิดว่าเราจะได้ข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมกับจีนและจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งโลก

การที่ทรัมป์กับสี จิ้นผิงจะพบกัน ยังไม่แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าการประชุมเกิดขึ้นก็จะตรงกับช่วงเวลาที่มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้พอดีกับช่วงที่ภาษีนำเข้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในอัตรา 100% จะเริ่มมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม ยังมีการคาดการณ์ว่า ผู้นำทั้งสองยังคาดว่าจะหยิบยกประเด็นไต้หวันขึ้นหารือ ท่ามกลางความกังวลว่า ทรัมป์อาจลดระดับการสนับสนุนภายใต้แรงกดดันจากสี โดยมีรายงานว่าจีนได้ขอให้ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ยืนยันการไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวันซึ่งจะเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของจีนที่มองว่าไต้หวันเป็นมณฑลกบฏที่ต้องรวมกลับสู่แผ่นดินใหญ่

จะมีข้อตกลงภาษีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่

การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนของทรัมป์ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญสำหรับกลุ่มประเทศสมาชิก 10 ชาติ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันกว่า 312,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เทียบกับ 142,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของภูมิภาค และพึ่งพาเศรษฐกิจอาเซียนเพื่อรักษาความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิต ทรัมป์ตอบโต้การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการเก็บ “ภาษีตอบโต้” ระหว่าง 10% ถึง 40% ทำให้ผู้นำอาเซียนออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความกังวลต่อแนวทาง “อเมริกาต้องมาก่อน” โดยระบุว่ามาตรการของทรัมป์ “เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบการค้าพหุภาคีและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานโลก

ทั้งนี้ ทรัมป์ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2017 ครั้งนี้กลับมาอีกครั้งโดยมีแผนพบผู้นำกลุ่มประเทศสมาชิกในวันอาทิตย์ โดยคาดว่าการหารือจะมุ่งเน้นไปที่เวียดนามและไทย ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีส่วนสำคัญต่อการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

จุดจบของ “สงคราม” อีกครั้ง ? 

การแวะเยือนมาเลเซียของทรัมป์อาจมีแรงจูงใจไม่ใช่เรื่องการค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความพยายามวางตัวเป็นผู้นำในการยุติข้อพิพาทบริเวณพรมแดนทางบกยาว 817 กิโลเมตรระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน

มาเลเซีย เคยเป็นตัวกลางในการเจรจาหยุดยิงชั่วคราวหลังการปะทะกัน 5 วันในเดือนกรกฎาคม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย และประชาชนราว 300,000 คนต้องอพยพ แต่สาเหตุความขัดแย้งยังไม่คลี่คลาย รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย โมฮัมหมัด ฮาซัน เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ทรัมป์พยายามที่จะเห็นข้อตกลงสันติภาพลงนามในระหว่างการประชุมสุดยอด ซึ่งจะเป็นผลงานที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเขาในฐานะ “ผู้สร้างสันติภาพระดับโลก”

จะพบกับคิม จองอึนอีกหรือไม่

สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ คำว่า ไม่มีทางดูเหมือนจะไม่เคยใช้ได้จริง แม้การพบกันในครั้งนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่เมื่อแนวโน้มการยุติสงครามยูเครนลดลง ทรัมป์อาจหันกลับไปให้ความสนใจกับ “เพื่อนเก่า” อย่าง คิม จองอึน และปัญหาเรื้อรังเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดประชุมระหว่างการเยือนเอเชียของทรัมป์ ขณะที่ทรัมป์เองเคยกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคมว่า

อยากพบผู้นำเกาหลีเหนือในเวลาที่เหมาะสมในอนาคต

แต่ความพยายามทั้งสามครั้งก่อนหน้าในการโน้มน้าวให้คิมยุติความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์ ทั้งสองการประชุมสุดยอดในปี 2018 และ 2019 และการเยือนเขตปลอดทหารระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ที่จัดขึ้นอย่างเร่งด่วนในปีเดียวกันล้วนล้มเหลว

นับแต่นั้นมา คิมได้เดินหน้าพัฒนาโครงการขีปนาวุธของเกาหลีเหนือต่อเนื่อง ส่งทหารกว่า 10,000 นายไปร่วมรบกับกองทัพรัสเซียในสงครามยูเครน และเข้าร่วมพันธมิตรต่อต้านตะวันตกอย่างไม่เป็นทางการร่วมกับจีนและรัสเซีย

ไม่กี่วันก่อนทรัมป์เดินทางถึงเกาหลีใต้เพื่อร่วมประชุมเอเปก เกาหลีเหนือได้ทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ 2 ลูก ซึ่งรัฐบาลระบุว่าเป็นการทดสอบระบบ “ไฮเปอร์โซนิก” รุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพการป้องปรามทางนิวเคลียร์ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับทรัมป์ที่จะเสี่ยงเดิมพันทางการทูตกับคิมอีกครั้ง

ปฏิบัติการกวาดล้างแรงงานในจอร์เจียทำให้สัมพันธ์สหรัฐฯ–เกาหลีใต้เย็นลงหรือไม่

การบุกตรวจจับแรงงานโดยหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) ที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าของบริษัทเกาหลีใต้ในรัฐจอร์เจียเมื่อเดือนที่แล้ว ได้สร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในกรุงโซล โดยมีชาวเกาหลีใต้ราว 300 คนถูกจับกุมในข้อหาทำงานอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐฯ

แม้สาธารณชนเกาหลีใต้จะยังไม่ลืมเหตุการณ์นี้ แต่ ประธานาธิบดีอี แจมยอง มีประเด็นสำคัญอื่นต้องเจรจากับทรัมป์ในการพบปะที่คย็องจูในวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการสรุปข้อตกลงการลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ มูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ ที่ล่าช้ามาจากความเห็นต่างเรื่องรูปแบบการลงทุน ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ ตกลงลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากเกาหลีใต้จาก 25% เหลือ 15% เท่ากับอัตราที่ใช้กับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป

นักวิเคราะห์บางรายคาดว่า อีอาจใช้แรงกดดันจากเหตุการณ์ ICE เพื่อเรียกร้องสัมปทานจากทรัมป์ ขณะที่เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ระบุว่าการเจรจาการค้าคืบหน้าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะยังมีหนึ่งหรือสองประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้