KEY
POINTS
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'ฐานทอล์ค' ถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 100% ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยระบุว่า รัฐบาลไทยต้องรีบเตรียมมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกัน 'สินค้าสวมสิทธิ์' ที่อาจถูกใช้เป็นช่องทางเลี่ยงภาษีจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
“นี่คือการบ้านสำคัญของรัฐบาลไทย เพราะหากไม่มีระบบตรวจสอบแหล่งที่มาสินค้าที่ชัดเจน ไทยอาจถูกเพ่งเล็งเหมือนเวียดนามที่เคยเจอปัญหานี้ สินค้าจีนจำนวนมากอาจเข้ามารีแพ็กเกจในไทยแล้วส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ไทยอาจถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มถึง 40% เหมือนเวียดนาม” รศ.ดร.อัทธ์กล่าว
หน่วยงานไทยควรเร่งประสานกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าร่วมกันแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ต้นทางในจีนจนถึงจุดส่งออกจากไทย เพื่อแสดงความโปร่งใสและตั้งใจจริงในการแก้ปัญหา
คำประกาศของโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องขึ้นภาษีจีน 100% นั้น มองว่าเป็นคำขู่ทางการเมืองมากกว่าความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นายสก็อต เบสเซน ที่ระบุว่า “เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้าจากจีนในอัตรา 100% ได้จริง”
คำขู่นี้มีเป้าหมายทางการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ เพราะทรัมป์ต้องการสร้างแรงกดดันต่อจีนเพื่อให้เกิดการเจรจา โดยเฉพาะใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ
"ทั้งสามเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐฯกับจีนกำลังเหมือนเล่นเกมปิงปองทางการค้าที่สองประเทศตอบโต้กันไปมา"
รศ.ดร.อัทธ์ วิเคราะห์ว่า แม้ภาษี 100% จะไม่เกิดขึ้นจริง แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นภาษีจากระดับเฉลี่ยปัจจุบัน 30% ไปแตะ 50–70% ได้ในหลายสินค้า โดย รมว.คลังสหรัฐฯ บอกว่า 100% เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า 31–99% จะเป็นไปไม่ได้
ด้านจีนก็มีท่าทีตอบโต้เช่นกัน โดยล่าสุดได้ประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเป็น 12 ชนิด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อ 3 อุตสาหกรรมหลักของโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด
"ใครควบคุมได้สามอุตสาหกรรมนี้ก็เท่ากับครองอำนาจทางเศรษฐกิจโลก และจีนถือครองสัดส่วนการผลิตและการแปรรูป Rare Earth มากถึง 90% ของโลก ดังนั้น แม้ทรัมป์จะขู่แค่ไหน จีนก็ไม่หวั่น เพราะจีนมีไพ่เหนือกว่าชัดเจน ทั้งด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการแปรรูป ซึ่งไม่มีประเทศไหนเทียบได้ในตอนนี้”
เศรษฐกิจจีนเองยังคงแข็งแกร่ง แม้ท่ามกลางสงครามการค้า โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ยอดส่งออกเดือนกันยายน 2025 ของจีนขยายตัวถึง 8.6% สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 6% และนี่คือสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนไม่ได้สะเทือนจากคำขู่ของสหรัฐฯ เพราะได้ปรับยุทธศาสตร์ขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นแล้ว ทั้งเอเชีย แอฟริกาใต้ ลาตินอเมริกา และอาเซียน
“สงครามการค้ารอบนี้ จีนไม่เดือดร้อนเท่าสหรัฐฯ เพราะจีนเตรียมรับมือมาหลายปีแล้วตั้งแต่ทรัมป์เริ่มสงครามการค้าครั้งแรก” แต่ผลกระทบที่ตามมาจะตกอยู่กับประเทศที่อยู่ระหว่างกลางอย่างไทย"
อย่างไรก็ตาม ไทยเสี่ยงเจอสินค้าจีนทะลักเข้ามาในปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่อาจเข้ามาตีตลาดภายใน ทำให้ SMEs ไทยอยู่ยากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่มีมาตรการคุมเข้ม เราอาจขาดดุลการค้ากับจีนสูงถึง 2 ล้านล้านบาทต่อปี หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปโดยไม่มีแผนรองรับ SMEs ไทยจะเจ๊งเป็นลูกโซ่ เหมือนโดมิโนที่ล้มต่อเนื่อง
รศ.ดร.อัทธ์เสนอทางออกว่า รัฐบาลไทยควรออกกฎบังคับทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศให้ใช้ซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทยไม่น้อยกว่า 30% ในปีนี้ และเพิ่มเป็น 40–50% ในปีถัดไป เพื่อสร้างระบบพึ่งพาในประเทศ
สำหรับโอกาสทางเศรษฐกิจ รศ.ดร.อัทธ์มองว่า แม้สงครามการค้าจะเป็นความเสี่ยง แต่ก็เปิดช่องทางใหม่ให้สินค้าไทยเข้าไปแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์ เพราะสินค้าหลายชนิดของไทยเป็นวัตถุดิบที่จีนใช้ผลิตต่อเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ หากจีนส่งออกน้อยลง ไทยก็จะกระทบด้วย
“นี่คือโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องมองสองด้าน — ด้านหนึ่งคือการป้องกันสินค้าจีนทะลัก อีกด้านคือต้องหาตลาดส่งออกใหม่ให้ไทยในช่วงที่จีนกับสหรัฐฯ ยังห้ำหั่นกันอยู่ รัฐบาลต้องเตรียมรับมือทั้งในเชิงนโยบาย การค้า และกฎหมาย เพื่อให้ไทยไม่กลายเป็นผู้รับแรงกระแทกโดยไม่ตั้งใจ” รศ.ดร.อัทธ์ทิ้งท้าย