KEY
POINTS
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ลงนามข้อตกลง “Critical Minerals Agreement” วางรากฐานใหม่เพื่อท้าทายอิทธิพลของจีนในตลาดแร่หายากทั่วโลก ระหว่างการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสองผู้นำ
แม้บรรยากาศโดยรวมของการประชุมจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ทรัมป์ยังคงพูดถึงกรณีอดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียและทูตประจำสหรัฐฯ เควิน รัดด์ ที่เคยเรียกเขาว่า “ประธานาธิบดีที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อปี 2020 ซึ่งทรัมป์ถึงกับพูดตรงๆ ว่า “ผมก็ไม่ชอบคุณเหมือนกัน และคงจะไม่มีวันชอบด้วย” อย่างไรก็ตาม ประเด็นทางเศรษฐกิจและความมั่นคงกลับกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการพบกันครั้งนี้
ดีลดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ ที่ทรัมป์ระบุว่าเจรจากันมาหลายเดือน โดยมีเป้าหมายสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่หายากและแร่สำคัญ (Critical Minerals) เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น พลังงานสะอาด ระบบป้องกันประเทศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งสองประเทศจะร่วมลงทุนฝ่ายละ 1 พันล้านดอลลาร์ภายในหกเดือนข้างหน้า เพื่อพัฒนาเหมืองและโรงงานแปรรูป พร้อมตั้ง “ราคาพื้นฐานขั้นต่ำ” สำหรับแร่หายาก ซึ่งเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการเหมืองในโลกตะวันตกเรียกร้องมานาน
แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า โครงการนี้จะมุ่งลงทุนในแหล่งแร่สำคัญมูลค่ากว่า 53 พันล้านดอลลาร์ทั่วออสเตรเลีย โดยทรัมป์กล่าวอย่างมั่นใจว่า “อีกไม่ถึงปี เราจะมีแร่หายากมากมายจนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันเลยทีเดียว”
ด้านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของสหรัฐฯ (EXIM Bank) ได้ประกาศจดหมายแสดงเจตจำนง (Letters of Interest) จำนวน 7 ฉบับ รวมมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการแร่ในออสเตรเลีย โดยมีบริษัทที่ได้รับการพิจารณา เช่น Arafura Rare Earths, Northern Minerals, Graphinex, Latrobe Magnesium, VHM, RZ Resources และ Sunrise Energy Metals ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการผลิตแร่สำคัญที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อวกาศ และเทคโนโลยีสื่อสารรุ่นใหม่
EXIM ระบุว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยสนับสนุน “การฟื้นฟูฐานอุตสาหกรรมไฮเทคของอเมริกา” และลดการพึ่งพาการส่งออกจากจีน พร้อมเสริมสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานฝั่งตะวันตก ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังเตรียมสร้างโรงกลั่นแกลเลียมในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย หลังจากจีนประกาศระงับการส่งออกแร่ชนิดนี้ไปยังสหรัฐฯ เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน
ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนพุ่งสูง ก่อนที่ทรัมป์จะมีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งสหรัฐฯ พยายามเร่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรแร่หายากเพื่อลดการพึ่งพาจีน ที่ครองส่วนแบ่งสำรองแร่หายากมากที่สุดในโลก ตามข้อมูลของสำนักงานธรณีวิทยาสหรัฐฯ
ในทางกลับกัน ออสเตรเลียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแหล่งสำรองแร่หายากจำนวนมาก โดยเฉพาะลิเทียมและนิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องบิน และเรดาร์ทางทหาร ข้อตกลงใหม่นี้ยังครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านการอนุญาตเหมือง การรีไซเคิลแร่ และการทำแผนที่ทรัพยากร รวมถึงการป้องกันการขายสินทรัพย์แร่ให้กับประเทศที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนจีนโดยตรง
นอกจากดีลแร่หายากแล้ว การพบกันครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำพันธมิตรทางทหารระหว่างสองประเทศ หลังทรัมป์ประกาศสนับสนุนโครงการเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ AUKUS มูลค่า 368 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งตกลงกันตั้งแต่ปี 2023 ในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน แม้ทรัมป์เคยวิจารณ์นโยบายยุคไบเดนหลายอย่าง แต่ครั้งนี้เขาเลือกจะ “เดินหน้าเต็มกำลัง” กับข้อตกลงดังกล่าว โดยยืนยันว่า “ไม่มีอะไรต้องชี้แจงเพิ่มเติม เรากำลังเดินหน้าเต็มที่แล้ว”
ข้อตกลง AUKUS จะทำให้ออสเตรเลียซื้อเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ ในปี 2032 ก่อนจะร่วมกับสหราชอาณาจักรสร้างเรือดำน้ำรุ่นใหม่ในประเทศของตนเอง โดยปีนี้ออสเตรเลียได้ลงทุนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในอู่ต่อเรือของสหรัฐฯ และเตรียมพร้อมดูแลเรือดำน้ำชั้น Virginia ของสหรัฐฯ ที่ฐานทัพในมหาสมุทรอินเดียภายในปี 2027
แม้จะมีความล่าช้าเกือบ 10 เดือนกว่าการประชุมผู้นำครั้งแรกจะเกิดขึ้น แต่การจับมือครั้งนี้สะท้อนว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและแคนเบอร์รากำลังกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะในอินโด-แปซิฟิกที่ทั้งสองประเทศต่างต้องการยืนหยัด “ปกป้องห่วงโซ่อุปทานโลกจากอิทธิพลจีน”