จีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือสหรัฐฯ 'ทรัมป์' เตรียมเจอ 'สี จิ้นผิง' ปลายต.ค.นี้

14 ต.ค. 2568 | 07:37 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2568 | 07:38 น.

จีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือจากเรือสหรัฐฯ ตอบโต้ภาษีใหม่ของทรัมป์ ขณะที่ทั้งสองประเทศยังเดินหน้าฟื้นเจรจา ก่อนผู้นำสหรัฐฯ และจีนเตรียมพบกันปลายตุลาคมนี้ที่เกาหลีใต้

KEY

POINTS

  • จีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือพิเศษจากเรือสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้มาตรการลักษณะเดียวกันที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับเรือจีน
  • แม้สงครามการค้าจะทวีความรุนแรง แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังมีกำหนดการพบกันในการประชุมเอเปคช่วงปลายเดือนตุลาคม
  • การเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสองอาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ โดยสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าอาจไม่ขึ้นภาษี 100% หากการเจรจามีความคืบหน้า

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนเริ่มบังคับเก็บ "ค่าธรรมเนียมท่าเรือพิเศษ" (Port Fees) จากเรือที่เป็นของบริษัทสหรัฐฯ หรือจดทะเบียนภายใต้ธงสหรัฐฯ ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา โดยจะ ยกเว้นเฉพาะเรือที่สร้างโดยจีน หรือเรือเปล่าที่เข้ามาซ่อมบำรุงในอู่ต่อเรือของจีน ซึ่งถือเป็นมาตรการสวนกลับต่อการที่สหรัฐฯ เพิ่งเก็บค่าธรรมเนียมลักษณะเดียวกันกับเรือที่เกี่ยวข้องกับจีนในวันเดียวกัน

กระทรวงคมนาคมของจีนระบุว่า การเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการกดดันทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ และจะเก็บใน "ท่าเรือแรกที่เรือเทียบท่า" ของแต่ละเที่ยว หรือคิดตาม 5 เที่ยวแรกภายในปีเดียวกัน ทั้งนี้ การไม่ชำระค่าธรรมเนียมจะส่งผลให้กระบวนการนำเข้า-ส่งออกของเรือลำดังกล่าวถูกระงับทันที

การตอบโต้นี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พร้อมทั้งออกมาตรการ จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญของสหรัฐฯ เพื่อโต้กลับการที่จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ดูเหมือนกำลังจะกลายเป็น "สงครามการค้าเต็มรูปแบบ" ก็มีสัญญาณผ่อนคลายเล็กน้อย เมื่อ สกอต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทรัมป์ยังคงมีกำหนดพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ที่เกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)

เบสเซนต์ยืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของสหรัฐฯ และจีนจะหารือกันเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ ระหว่างการประชุมธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่กรุงวอชิงตัน พร้อมระบุว่า "อัตราภาษี 100% ยังไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หากการเจรจาคืบหน้า"

ถึงแม้ตลาดการเงินจะตอบรับข่าวดังกล่าวด้วยแรงซื้อ โดยดัชนีหลักของวอลล์สตรีทปรับตัวขึ้นกว่า 2% และตลาดหุ้นเอเชียเริ่มฟื้นตัวในวันถัดมา แต่ทั้งสองประเทศยังคงเดินหน้ามาตรการตอบโต้ทางการค้าอย่างระมัดระวัง โดย กระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกแถลงการณ์เตือนว่า "สหรัฐฯ ไม่สามารถขอเจรจาไปพร้อมกับการข่มขู่ด้วยมาตรการจำกัดใหม่ได้"

ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายสหรัฐฯ โดย ตัวแทนการค้าจำปี เจมสัน เกรียร์ กล่าวหาจีนว่าเป็นฝ่าย "เลื่อนการติดต่อทางโทรศัพท์" ภายหลังจากการประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ขณะที่จีนเองก็ประณามสหรัฐฯ ที่ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพิ่มเติม และเก็บค่าธรรมเนียมกับเรือจีน

แม้ทั้งสองฝ่ายจะย้ำว่าต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะที่กระทบเศรษฐกิจโลก แต่ท่าทีและมาตรการล่าสุดบ่งชี้ชัดว่า สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยังอยู่ห่างไกลจากคำว่า "จบ" โดยเฉพาะเมื่อทั้งคู่ต่างกล่าวหากันว่าเป็นต้นเหตุของความผันผวนในห่วงโซ่อุปทานโลก

เบสเซนต์ทิ้งท้ายว่า สหรัฐฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรในยุโรป อินเดีย และประเทศประชาธิปไตยในเอเชีย พร้อมย้ำว่า "จีนอาจเป็นเศรษฐกิจแบบสั่งการ แต่ไม่สามารถสั่งและควบคุมเราได้" ส่วนฝั่งปักกิ่งตอบกลับอย่างแข็งกร้าวว่า หากสหรัฐฯ ต้องการสู้ จีนก็พร้อมตอบโต้จนถึงที่สุด แต่หากต้องการเจรจา "จีนก็พร้อมเปิดประตูต้อนรับเช่นกัน"