อินโดนีเซียคาด GDP โตแตะ 5% เดินหน้าดีลสหรัฐฯ หวังเลี่ยงภาษีตอบโต้

24 เม.ย. 2568 | 06:15 น.
อัปเดตล่าสุด :24 เม.ย. 2568 | 06:16 น.

"ศรี มุลยานี" รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียเผย คาดเศรษฐกิจปีนี้ โตใกล้ 5% แม้ถูกสหรัฐฯ ขู่เก็บภาษี 32% เดินหน้าดีลเร่งด่วนภายใน 60 วัน หวังหลีกเลี่ยงผลกระทบ

แม้ต้องเผชิญความตึงเครียดทางการค้าและแรงกดดันจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา แต่อินโดนีเซียยังคงเชื่อมั่นว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 จะสามารถรักษาระดับใกล้เคียง 5% ได้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศ ศรี มุลยานี อินดราวาตี เปิดเผยในงานแถลงข่าวของคณะกรรมการเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง หัวหน้าหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงิน และหัวหน้าบริษัทประกันเงินฝาก

ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 5.03% แม้ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 5.2% ในปีนี้ แต่ก็สะท้อนความพยายามของทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่ประกาศชัดเจนว่าจะผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจให้แตะระดับ 8% ภายในปี 2029

ในขณะที่ศรี มุลยานี และผู้ว่าการธนาคารกลาง อินโดนีเซีย เพอร์รี่ วาร์จิโย อยู่ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตัน คณะผู้แทนอินโดนีเซียที่นำโดย แอร์ลังกา ฮาร์ตาโต้ รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของประเทศ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น โดยมีกรอบเวลา 60 วันนับจากวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมาในการหาข้อสรุป

หนึ่งในข้อเสนอที่อินโดนีเซียนำเสนอคือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (non-tariff barriers) เพื่อหลีกเลี่ยงการที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษี 32% ต่อสินค้าส่งออกของอินโดนีเซีย

“รัฐบาลจะเดินหน้ากลไกบรรเทาผลกระทบล่วงหน้า โดยเน้นการสื่อสารเชิงรุกกับรัฐบาลสหรัฐฯ และดำเนินมาตรการลดกฎระเบียบเพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้า ตามคำสั่งของประธานาธิบดี” ศรี มุลยานี กล่าว พร้อมเสริมว่า “อินโดนีเซียจะยังคงเดินหน้าปกป้องอุปสงค์ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง”

แม้สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของอินโดนีเซียจะคิดเป็นเพียงราว 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เท่านั้น แต่รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับความเสี่ยงจากผลกระทบทางอ้อมของสงครามการค้า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดกระแสเงินทุนไหลออกหลังสหรัฐฯ ประกาศแผนภาษีตอบโต้ในช่วงต้นเดือนเมษายน

สินค้าอินโดนีเซียที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า ซึ่งหากต้องเผชิญภาษีในอัตราสูง อาจส่งผลกระทบต่อทั้งภาคการผลิตและแรงงานจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังคงติดตามสถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์อย่างใกล้ชิด โดยศรี มุลยานีย้ำว่า แม้ตลาดทุนจะผันผวน แต่การเคลื่อนไหวของค่าเงินรูเปียห์ยังคงอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ได้และมีเสถียรภาพ

อินโดนีเซียกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการวางรากฐานการเติบโตระยะยาว ท่ามกลางแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้ารายใหญ่ หากสามารถเจรจาหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ก็อาจกลายเป็นหมากสำคัญในการรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะต่อไป