หอการค้าแห่งสหภาพยุโรปในประเทศจีนระบุในรายงานฉบับล่าสุดว่า จีนพลาดเป้าหมายสำคัญหลายประการจากแผน 10 ปีในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันยังส่งเสริมการแข่งขันภายในที่ไม่แข็งแรงในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยิ่งทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศรุนแรงขึ้น
เปิดตัวแผน “Made in China 2025” ในปี 2015
แผนดังกล่าวได้รับเสียงวิจารณ์จากนานาประเทศอย่างมาก เนื่องจากส่งเสริมธุรกิจจีนโดยเอื้อประโยชน์เหนือคู่แข่งต่างชาติ จีนจึงลดการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวในเวลาต่อมา แต่ก็กลับเพิ่มความเข้มข้นในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศเพื่อตอบโต้ข้อจำกัดที่สหรัฐฯ กำหนดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่แผนดังกล่าวเปิดตัว จีนสามารถบรรลุเป้าหมายในด้านการครองตลาดภายในประเทศในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในภาคอวกาศ หุ่นยนต์ระดับสูง และอัตราการเติบโตของมูลค่าเพิ่มภาคการผลิต
ตามข้อมูลจากหอการค้าซึ่งอ้างอิงการวิจัยและการหารือกับสมาชิกองค์กร จาก 10 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ระบุไว้ในรายงาน จีนสามารถครองเทคโนโลยีได้สำเร็จเพียง 3 สาขา ได้แก่ การต่อเรือ รถไฟความเร็วสูง และรถยนต์ไฟฟ้า
เป้าหมายของจีนถือเป็นแนวทางมากกว่าการระบุตัวเลขเฉพาะที่ต้องบรรลุภายในวันที่กำหนด แผน Made in China 2025 เป็นกรอบ 10 ปีแรกของสิ่งที่ประเทศเรียกว่า “ยุทธศาสตร์หลายทศวรรษ” เพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตระดับโลก
หอการค้าระบุว่า เครื่องบินที่จีนพัฒนาขึ้นเองอย่าง C919 ยังคงพึ่งพาชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ และยุโรปเป็นหลัก แม้ระดับการอัตโนมัติในอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผลจากการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของมูลค่าเพิ่มภาคการผลิตในปี 2024 อยู่ที่ 6.1% ลดลงจาก 7% ในปี 2015 และยังห่างจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 11% อยู่มาก
แม้การเติบโตจะชะลอลง แต่จีนก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จนกลายเป็นผู้สร้างมูลค่าเพิ่มภาคการผลิตมากถึง 29% ของโลก แทบจะเทียบเท่ากับสหรัฐฯ และยุโรปรวมกัน โดยก่อนปี 2015 จีนยังไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของยุโรปหรือสหรัฐฯ ในหลายหมวดหมู่สินค้า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงของจีน พร้อมสนับสนุนให้บริษัทผู้ผลิตขั้นสูงย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ออกข้อกำหนดเรื่องใบอนุญาตส่งออกสำหรับชิปปัญญาประดิษฐ์ H20 ของ Nvidia และ MI308 ของ AMD รวมถึงชิปรุ่นเทียบเท่าทั้งหมดไปยังจีน
ก่อนหน้านั้น Nvidia เปิดเผยว่า บริษัทจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายไตรมาสละประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์ จากข้อกำหนดส่งออกฉบับใหม่นี้ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เข้าพบกับรองนายกรัฐมนตรีจีน นายเหอ ลี่เฟิง ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามรายงานจากสื่อทางการจีน
ศาสตราจารย์ไลโอเนล เอ็ม. นี อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (วิทยาเขตกว่างโจว) กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (ตามคำแปลจาก CNBC) โดยระบุว่าผลิตภัณฑ์ที่ต้องพัฒนาเอง ได้แก่ ชิปและอุปกรณ์ต่าง ๆ และหากยังไม่มีของทดแทนสำหรับสินค้าที่ถูกจำกัด ก็จะเลือกซื้อรุ่นที่ดีที่สุดถัดลงมาแทน
นอกเหนือจากแผนยุทธศาสตร์รายสาขาแล้ว จีนยังจัดทำแผนพัฒนาแห่งชาติทุก ๆ 5 ปี แผน 5 ปี ฉบับที่ 14 ซึ่งเน้นสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล กำลังจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคมนี้ และแผนฉบับที่ 15 มีกำหนดเปิดตัวในปีหน้า
ยังไม่ชัดเจนว่าจีนจะสามารถพึ่งพาตนเองด้านระบบเทคโนโลยีหลัก ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนในระยะใกล้นี้ แต่บริษัทท้องถิ่นของจีนได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
หัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ช่วงปลายปี 2023 ซึ่งมีรายงานว่าใช้ชิประดับสูงที่รองรับความเร็ว 5G
แม้จะถูกขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 แต่หัวเว่ยก็พัฒนาและเปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในปีที่แล้ว ซึ่งรายงานระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ Android ของ Google
มาตรการควบคุมการส่งออกชิปของชาติตะวันตกถือว่ามีประสิทธิภาพบางส่วน เพราะสามารถทำให้จีนชะลอการพัฒนาด้านเซมิคอนดักเตอร์ได้ชั่วคราว แม้ต้องแลกกับต้นทุนบางประการต่อสหรัฐฯ และบริษัทพันธมิตร
นักวิเคราะห์จากสถาบัน Center for Strategic and International Studies (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุในรายงานสัปดาห์นี้ เเละเตือนว่าจีนไม่ได้ถอยกลับ แต่กลับเดินหน้าเต็มที่มากกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในสหรัฐฯ ไม่มั่นคง
ยกตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของหัวเว่ยอย่าง Pura 70 ใช้ชิ้นส่วนจากจีน 33 รายการ และใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศเพียง 5 รายการเท่านั้น
ในปี 2024 หัวเว่ยมียอดรายได้เพิ่มขึ้นถึง 22% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2016 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
บริษัทใช้เงินลงทุนด้านวิจัยและพัฒนามากถึง 20.8% ของรายได้ สูงกว่าเป้าหมายปกติที่วางไว้ที่มากกว่า 10% ต่อปีอย่างชัดเจน โดยรวมแล้ว ผู้ผลิตจีนบรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายด้าน R&D ระดับประเทศที่ 1.68% ของรายได้จากการดำเนินงาน ตามรายงานของหอการค้า EU
บริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ใช้งบ R&D ถึง 15.2% ของยอดขายสุทธิในปี 2024 ขณะที่ Nvidia ใช้ 14.2% กำลังการผลิตล้นเกินและปัญหาด้านความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายสูงไม่ได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพเสมอไป การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ทำให้เกิดสงครามราคา โดยผู้ผลิตส่วนใหญ่ยอมขาดทุนเพื่อแย่งตลาด ปรากฏการณ์นี้เรียกกันทั่วไปในจีนว่า “เน่ยจวน” (involution)
การเร่งทำเป้าหมายจากโครงการ Made in China 2025 กลับมีส่วนทำให้เกิดภาวะ "เน่ยจวน" ขณะเดียวกัน ความพยายามของจีนในการขยับขึ้นสู่การผลิตสินค้าระดับสูง แทนของเล่นและของตกแต่ง ก็ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเรื่องความมั่นคงในระดับโลกมากขึ้น
ในรายงานแถลงผลงานรัฐบาลประจำปีที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เฉียง กล่าวเรียกร้องให้หยุดยั้งภาวะ “เน่ยจวน” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่เคยออกมาจากที่ประชุมโปลิตบูโร (คณะผู้นำอันดับสองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน
การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด ยิ่งทวีผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้ว จากข้อมูลของ Wind Information ที่ CNBC วิเคราะห์ ณ วันพฤหัสบดี บริษัทจดทะเบียนจีนแผ่นดินใหญ่ 2,825 แห่ง มีถึง 20% ที่ขาดทุนในปี 2024 เป็นครั้งแรก และถ้ารวมบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ จำนวนบริษัทที่ขาดทุนในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 48%
ในเดือนมีนาคม จีนย้ำว่าการกระตุ้นการบริโภคเป็นภารกิจหลักของปีนี้ หลังจากก่อนหน้านี้เน้นภาคการผลิต โดยตั้งแต่ต้นปี 2024 ยอดค้าปลีกเติบโตช้ากว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตามข้อมูลทางการที่รวบรวมผ่าน Wind Information
หอการค้าแห่งสหภาพยุโรป ระบุว่า ผู้กำหนดนโยบายยังมองหาวิธีทำให้กำลังการผลิตสอดคล้องกับความสามารถในการบริโภคภายในประเทศได้ดีขึ้น ความพยายามกระตุ้นการบริโภคจะไม่ส่งผล หากการผลิตยังเติบโตเร็วกว่าอยู่ดี แต่เมื่อถูกถามถึงนโยบายที่จะช่วยจัดการกับปัญหากำลังการผลิตล้นเกินความจำเป็น ก็ระบุว่า มีการเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน