Google คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 68 แตะ 1.79 ล้านล้านบาท

10 พ.ย. 2563 | 14:35 น.

Google, Temasek และ Bain & Company เผยผลวิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  คาดมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยแตะ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.79 ล้านล้านบาทในปี 2568  ผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดคือผู้ใช้รายใหม่ และ 95% ของผู้ใช้รายใหม่ตั้งใจที่จะใช้ต่อไปหลังช่วงระบาด

Google, Temasek และ Bain & Company เผยรายงานการวิจัยติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 (e-Conomy SEA 2020) ว่า ปี 2563 เศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท (คิดที่ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ)

โดยมีผู้ใช้อินเตอร์รายใหม่เพิ่มขึ้น 40 ล้านคน จากปี 2562 ทำให้ปัจจุบันทั่วทั้งภูมิภาคนี้มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น 400 ล้านคน และจากรายงานได้คาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเติบโตทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 

สำหรับประเทศไทยยังคงเกาะกระแสการเติบโต โดยคาดว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะแตะที่ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.97 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 25% ในปี 2568

 

 

 

นางแจ็คกี้ หวาง ผู้อำนวยการ กูเกิล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ผลการวิจัยระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโตขึ้น 7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยจะมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ 5.58 แสนล้านบาท ในปี 2563 นับเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากอินโดนีเซีย 

Google คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 68 แตะ 1.79 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ได้มีการวิจัยติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน  7 ภาคส่วน และได้ระบุอัตราการเติบโตในประเทศไทยดังต่อไปนี้ 

* อีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด กล่าวคือ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 81% จากปีที่ผ่านมา มีมูลค่าแตะ 9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.79 แสนล้านบาท   ในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 7.44 แสนล้านบาท ในปี 2568 แม้วิกฤติโควิดจะส่งผลกระทบแต่การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซได้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการขนส่งออนไลน์

* สื่อออนไลน์ (โฆษณา เกม บริการวิดีโอออนดีมานด์ และบริการเพลงออนดีมานด์) ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ หรือหรือ 1.24 แสนล้านบาท ในปีนี้ และทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.17 แสนล้านบาท ในปี 2568                                             

ที่น่าสนใจพบว่า คนไทยใช้เวลาออนไลน์ 3.7 ชั่วโมง (ใช้งานส่วนตัว) ในช่วงก่อนโควิด และพุ่งขึ้นถึง 4.6 ชั่วโมงในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ และปัจจุบันคงที่อยู่ที่ 4.3 ชั่วโมงต่อวัน  ผู้ใช้จาก 8 ใน 10 ราย เห็นว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างมากในช่วงโควิด-19 จึงทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของผู้คนอีกต่อไป 

นอกจากนี้ ในรายงานฯ ยังระบุว่าช่วงล็อกดาวน์มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ผู้ใช้จํานวนมากเริ่มลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ โดย 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดคือผู้ใช้รายใหม่ และ 95% ของพวกเขาเหล่านี้ตั้งใจที่จะใช้ต่อไปหลังช่วงระบาด

* การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ ในประเทศไทยมีมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.41 หมื่นล้านบาท  ในปี 2563 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลดลง 12% แม้ว่าจะมีการเติบโตของบริการส่งอาหารออนไลน์ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ  หรือประมาณ 2.17 แสนล้านบาทเติบโตขึ้น 45% ในปี 2568

* การท่องเที่ยวออนไลน์ (ธุรกิจจองโรงแรม ที่พัก และเที่ยวบิน) ในประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีมูลค่าตลาด (Gross Bookings Value) ในปี 2563 อยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์  หรือ ประมาณ  1.24 แสนล้านบาท  โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลดลง 47% และคาดว่าจะมีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4.65 แสนล้านบาท ภายในปี 2568

ข้อมูลอัปเดตในส่วนของ บริการทางการเงินดิจิทัล (การชำระเงิน การโอนเงิน การให้กู้ยืม ประกันภัย และการลงทุน) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่าผู้บริโภคและธุรกิจเอสเอ็มอีได้หันมาใช้บริการทางการเงินดิจิทัลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกเหนือจากบริการให้กู้ยืมแล้ว มูลค่าธุรกรรมรวมการชำระเงินดิจิทัล (GTV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2563 อยู่ที่ 620 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.92 หมื่นล้านบาท   สูงขึ้นจากปีที่แล้ว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ  620 ล้านบาท และคาดว่าจะมีมูลค่ารวมที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 3.72 หมื่นล้านบาท  ในปี 2568 

ขณะที่ อีก 2 ภาคส่วนใหม่ที่ได้ทำการวิจัยขึ้นในปีนี้ ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้แก่ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และ เทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech)

ผลการวิจัยร่วมกันของ Google, Temasek และ Bain & Company ในปีนี้ แสดงให้เห็นถึงก้าวต่อไปของอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและระบบนิเวศขนานใหญ่ในปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีความก้าวหน้าและเติบโตมาสู่จุดที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจากผลการวิจัยการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยได้ค้นพบถึงสาระสำคัญ 7 ประการดังนี้ 

  1. การย้ายสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้อินเตอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในประเทศไทยที่มีผู้ลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด - 19 
  1. ออนไลน์อย่างมีความหมาย ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันบนอินเทอร์เน็ตในช่วงล็อกดาวน์ ในขณะที่คนไทยใช้เวลาบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นในช่วงโควิด-19 และมองว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็น 
  1. ปรับตัวในช่วงวิกฤต อีคอมเมิร์ซได้ขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศไทยอย่างมากถึง 81% การก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วนี้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการขนส่งออนไลน์เป็นอย่างมาก
  1. เส้นทางสู่การสร้างผลกําไร การให้เงินทุนกับธุรกิจระดับยูนิคอร์นในภาคธุรกิจที่เริ่มอิ่มตัวชะลอตัวลงนับตั้งแต่จุดเฟื่องฟูในปี 2561 ปัจจุบันแพลตฟอร์มต่างๆ หันกลับมาให้ความสําคัญกับธุรกิจหลักของตนเพื่อมุ่งเน้นการสร้างผลกําไรเป็นอันดับแรก
  2. บุกเบิกธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และเทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech) มีบทบาทสำคัญมากในช่วงของการระบาด โดยมีอัตราการนำไปใช้ (Adoption Rate) ที่โดดเด่น
  3. มองบวกอย่างรอบคอบ นักลงทุนตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบในการซื้อขายที่น้อยลงแต่ด้วยมูลค่า (valuation) ที่น่าดึงดูดมากขึ้น โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
  4. ก้าวต่อไป จากผลการวิจัยในปีนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจอินเทอร์เน็ตเติบโตมาสู่จุดที่แข็งแร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นการพัฒนาข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อจํากัดด้านบุคลากรที่มีความสามารถ