‘เฟรชเก็ต’จากมาร์เก็ตเพลสสู่แพลตฟอร์ม‘ฟู้ดซัพพลายเชน’

ประเทศไทยมีร้านอาหารขนาดกลางและขนาดเล็กมากถึง 60% แต่ปัญหาระหว่างซัพพลายเออร์กับร้านอาหาร คือ ไม่มีระบบที่เชื่อมต่อกัน ร้านอาหารจึงยากที่จะเข้าถึงซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่มีคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดี ทำให้ “เบลล์” พงษ์ลดา พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ ผู้ก่อตั้ง “เฟรชเก็ต” สร้างแพลต ฟอร์มขึ้นมาเป็นตัวกลางรวบรวมออร์เดอร์ที่มาจากร้านอาหารขนาดกลางและเล็กหลายๆ รายเข้า มาเชื่อมต่อกับซัพพลายเออร์ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับใหญ่

ปรับสู่ฟู้ดซัพพลายเชน

ในช่วงเริ่มแรกที่ให้บริการนั้น เฟรชเก็ตเป็นแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส 100% ที่ทำให้ร้านอาหารและซัพพลายเออร์ซื้อขายกันได้สะดวกที่สุด แต่เมื่อศึกษาตลาดทำให้ได้รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงในอุตสาหกรรมอาหาร คือ ซัพพลายเออร์ไม่พร้อมที่จะส่งสินค้าให้กับร้านอาหารได้อย่างมีคุณภาพและตรงเวลา เฟรชเก็ตจึงเริ่มสร้างอินฟราสตรักเจอร์ ในส่วนของ แวร์เฮาส์ และโลจิสติกส์ขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมาโดยได้มีการปรับโมเดลธุรกิจ จากมาร์เก็ตเพลส สู่การเป็น ฟู้ด ซัพพลายเชน (Food Supply Chain)

เดิมทีเฟรชเก็ตมีผลิตภัณฑ์ในระบบกว่าหมื่นรายการ ล่าสุดลดลงเหลือเพียง 2,000 รายการ โดยโฟกัสผลิตภัณฑ์อย่างผักผลไม้ เนื้อสัตว์    

สร้างโลจิสติกส์โมเดล

นอกจากการสร้างแวร์เฮาส์ เพื่อรองรับการขนส่งจากซัพพลายเออร์ให้มีความสะดวกมากขึ้นแล้ว เฟรชเก็ตยังให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยได้ออกแบบโลจิสติกส์โมเดลขึ้นมา ซึ่งโมเดลนี้จะบอกได้ว่าเฟรชเก็ตต้องการโลจิสติกส์บริษัทใดบ้าง เช่น การขนส่งโดยใช้รถบรรทุกหรือรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้ส่งสินค้า เข้าร้านอาหารได้ตรงเวลาที่สุด โดย ได้พาร์ตเนอร์กับบริษัทโลจิสติกส์หลายราย อาทิ เอสซีจี นิชิเร ที่ดูแล เรื่องของรถห้องเย็น และในส่วนของพื้นที่ห่างไกล ใช้มอเตอร์ไซค์ อย่าง สกูต้า เดลิเวอรี ลาล่ามูฟ

ตั้งเป้า300ออร์เดอร์ต่อวัน

2 ไตรมาสที่ผ่านมา เฟรชเก็ตเติบโตขึ้น 40-50% หลังจากที่มีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ โดยมีร้านอาหารที่อยู่ในระบบกว่า 600 ร้าน เฉพาะในกรุงเทพฯ 4 โซน ขณะที่ในฝั่งของซัพพลายเออร์มีอยู่ที่ประมาณ 20-30 ราย ซึ่งก็ยังไม่เยอะมาก และมีการซื้อขายเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 4,000-4,500 รายการ ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 1 เท่าตัว ทั้งนี้ภายในไตรมาส 2 ของ ปีนี้เป้าหมายหลักคือ ยอดการสั่งซื้อต่อวันอยู่ที่ 300 ออร์เดอร์ ซึ่งจะต้องมีร้านอาหารในระบบประมาณ 1,000-1,200 ร้าน สำหรับโมเดลรายได้ของเฟรชเก็ตนั้นมาจากการซื้อมาขายไป โดยซื้อสินค้าจาก ซัพพลายเออร์ที่เสนอราคาให้จากนั้นจะมีการเปรียบเทียบราคาและมีการปรับราคาทุก 7 วันโดยอิงจากราคาตลาด และตั้งเป็นราคาขายให้กับร้านอาหาร 

ศักยภาพของตลาด

อย่างไรก็ตามจุดแข็งที่ทำให้เฟรชเก็ตแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น คือเรื่องของคุณภาพสินค้า การเพิ่มรายได้ของร้านอาหารด้วยการช่วยลดต้นทุน เนื่องจากผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถตรวจสอบข้อมูลการสั่งสินค้าจากพนักงานในร้านได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่จำเป็นจะต้องทำงานอยู่ที่ร้านตลอดเวลา และนำข้อมูลที่ได้ไปบริหารจัด การร้าน ทั้งนี้เฟรชเก็ตจำเป็นต้องมีข้อมูลความต้องการเพื่อควบคุมในฝั่งของซัพพลายได้ โดยมุ่งไปยังธุรกิจร้านอาหารขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกทั้งมีแผนขยายไปในส่วนของโรงแรม โรงเรียนและโรงพยาบาลรวมไปถึงอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ เฟรชเก็ตมียอดเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากการเติบโตของร้าน แต่ในมุมของอุตสาหกรรมร้านอาหารยังคงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ

ชูฟีเจอร์บริหารจัดการร้าน

นอกจากนี้ เฟรชเก็ตยังมีฟีเจอร์ที่ได้นำเทคโนโลยี มาใช้ในการบริหารงานทางด้านซัพพลายของร้านอาหารให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น มีการพัฒนาด้านโลจิส ติกส์ แพลตฟอร์ม รวมถึงระบบการจัดการแวร์เฮาส์ ที่ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้ร้านอาหารต้องการใช้งานเฟรชเก็ต คือ 1. ความสะดวก 2.เฟรชเก็ตรับประกันคุณภาพ 100% สามารถเคลมสินค้าได้ และสุดท้ายคือเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนร้านอาหาร ปัจจุบันต้นทุนของร้านอาหารอยู่ที่ประมาณ 35% และในการรวบรวมข้อมูลของผู้ประกอบการต้องใช้ระยะเวลาถึง 45 วัน ซึ่งช้าเกินไป หรืออาจมีการทุจริตภายในร้าน แต่เมื่อทุกอย่างเป็นออนไลน์ ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถนำข้อมูลออกมาเป็นไฟล์เอ็กเซลได้อย่างสะดวกเพื่อใช้ประกอบในการบริหารจัดการส่วนต่างๆ ของร้านและ เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่มีระบบหน้าบ้านที่เป็นพอยต์ออฟเซลล์ ( POS) อยู่แล้ว แต่ในส่วนของระบบหลังบ้านยังไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้นเฟรชเก็ตสามารถเข้ามาช่วยจัดการในส่วนนี้ได้ 

สัมภาษณ์ | หน้า 11 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3454 ระหว่างวันที่ 21 - 23 มีนาคม 2562