net-zero

เปิดกลยุทธ์ AF GREEN Project เร่งเครื่อง Green Finance หนุน SME สู่ยุค Net Zero

In Brief

  • ไอร่า แฟคตอริ่ง (AF) ปรับกลยุทธ์จากธุรกิจแฟคตอริ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการ "Green Finance" เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ SME ที่ต้องการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและ Net Zero
  • ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ "AF Green Financial" โดยปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 700 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการลดใช้พลังงานและมลพิษของ SME เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป
  • ทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยงทางการเงิน" โดยการอนุมัติสินเชื่อจะพิจารณาผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีควบคู่กับความสามารถทางการเงิน และต้องมีใบรับรองจากผู้เชี่ยวชาญยืนยัน

เศรษฐกิจไทยในวันนี้ ไม่ได้ท้าทายแค่การเติบโตที่ชะลอตัวหรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่กำลังเผชิญแรงกดดันจากความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เมื่อพลังงานไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่เป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดของกิจการ ขณะที่มาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลกกำลังบีบให้ทุกธุรกิจต้องคิดใหม่ ธุรกิจทุกขนาดต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องประหยัดพลังงาน ต้องติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ ต้องรับมือกับมาตรการสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ และต้องสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นเรื่องจัดการได้ แต่ในความเป็นจริง SME ไทยจำนวนไม่น้อยแม้จะต้องการปรับตัว ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน และที่หนักที่สุดคือ “เงินทุน” ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเหมือนบริษัทใหญ่

ในขณะที่หลายคนมอง ธุรกิจแฟคตอริ่ง เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเร่งสภาพคล่องระยะสั้น บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AF หนึ่งในผู้ให้บริการ Non-Bank เลือกตีความบทบาทของตนเองจาก “ผู้รับซื้อหนี้การค้า” สู่ “ผู้ขับเคลื่อน Green Finance” ที่ออกแบบสินเชื่อให้ SME ใช้ปรับตัวด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

การเปลี่ยนผ่านนี้มาจาก “ความเชื่อ” ของผู้นำองค์กร นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง (AF) ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการปรับทิศทางครั้งใหญ่ขององค์กร

นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง (AF)

จากแฟคตอริ่งรูปแบบเดิมไปสู่บทบาท “พี่เลี้ยงทางการเงิน” ของ SME ที่ต้องการปรับตัวด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเครื่องมือทางการเงินในยุคนี้ต้องทำมากกว่าปล่อยสินเชื่อ แต่ต้องช่วยธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในบริบทของโลกใหม่ด้วย

จุดเริ่มต้นของ Green Finance เห็นปัญหา SME 

ผู้บริหาร AF เล่าย้อนให้ฟังว่า แนวคิด Green Finance ไม่ได้เกิดจากการวางยุทธศาสตร์ แต่มาจากการได้ลงไปคุยกับผู้ประกอบการจริง ๆ เจ้าของโรงงานขนาดกลางที่ต้องการติดโซลาร์แต่ไม่มีเงินก้อน ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการปรับระบบพลังงานเพื่อลดต้นทุน แต่ไม่มีเครดิตเพียงพอ วิสาหกิจชุมชนที่ต้องการผลิตสินค้าจากของเหลือใช้ แต่เข้าไม่ถึงเงินทุน ธุรกิจรีไซเคิลที่ต้องซื้อเครื่องจักร แต่ไม่มีผู้ปล่อยสินเชื่อรายใดประเมินได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ธุรกิจเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียที่มีตลาด แต่ไม่มีวงเงินเริ่มต้นผลิตงาน เรื่องราวเหล่านี้สะสมมากพอจนมองเห็นช่องว่างที่ระบบการเงินไทยยังรับไม่ไหว

ความมุ่งหมายหลัก คือการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่ปัจจุบันยังมีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งทุนอยู่มาก เรามองว่าเอสเอ็มอีสามารถสะท้อนเรื่อง ESG ได้สองรูปแบบ แบบแรกคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ส่วนอีกรูปแบบคือธุรกิจเชิงสังคม เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ยังเผชิญปัญหาในการเข้าถึงเงินทุน ทำให้การสร้างความยั่งยืนทั้งด้านรายได้และผลกำไรยังทำได้ไม่เต็มที่

Green Finance หนุนปล่อยสินเชื่อธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมกว่า 700 ลบ.

การขับเคลื่อนของ AF ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าบริษัทเริ่มออกจากกรอบธุรกิจแฟคตอริ่งแบบเดิม และเข้าสู่พื้นที่ใหม่ของ Green Finance อย่างเต็มตัว ผ่านผลิตภัณฑ์ “AF Green Financial Solution” ซึ่งกำหนดชัดเจนว่าสินเชื่อจะต้องนำไปเพื่อการลดพลังงานหรือลดมลภาวะเท่านั้น

เงื่อนไขดังกล่าวเปลี่ยนบทบาทของผู้ให้สินเชื่อจากการประเมินความสามารถทางการเงินเพียงอย่างเดียว ไปสู่การประเมินด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีควบคู่กัน ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ของตลาดไทย

ตัวเลขสินเชื่อกว่า 700 ล้านบาทที่ AF ปล่อยออกไปภายใต้กรอบกรีน นับตั้งแต่ปี 2566 สะท้อนความต้องการของธุรกิจจำนวนมากที่อยากลดต้นทุนพลังงานหรือลดการปล่อยมลพิษ แต่เดิมนั้นไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนก้อนแรกได้ ธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อมีตั้งแต่โรงงานที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ผู้ผลิตอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการทางการแพทย์ที่ต้องการเทคโนโลยีลดพลังงาน ผู้ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้พัฒนาอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงธุรกิจชุมชนที่ต้องการเงินทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมของตน ซึ่งแต่ละโครงการสะท้อนว่าการลงทุนด้านพลังงานไม่ใช่เรื่องของธุรกิจใหญ่เท่านั้น แต่เริ่มเป็นเรื่องจำเป็นของ SME ที่ต้องแข่งขันกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุด คือ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานจำนวนมากเริ่มหันไปใช้ผู้ให้บริการที่นำเสนอเป็นแพ็กเกจครบชุด ทั้งอินเวอร์เตอร์และแผงโซลาร์ เพื่อให้การจัดการง่ายขึ้น และเมื่อระบบเริ่มทำงาน ค่าไฟที่ลดลงทุกเดือนเท่ากับการเพิ่มสภาพคล่องทันทีในฝั่งผู้กู้ เมื่อค่าใช้จ่ายพื้นฐานลดลง ผลประกอบการจึงดีขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้พลังงานสูง การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถลดภาระกระแสเงินสดได้ชัดเจนและรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ AF ใช้ข้อมูลด้านพลังงานเป็นตัวชี้วัดประกอบการรีวิวสินเชื่อประจำปี

การทบทวนเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบสถานะลูกค้า แต่เป็นการวัดความสำเร็จของโครงการกรีนว่ามีผลจริงตามที่ยื่นขอหรือไม่ และช่วยให้ AF เห็นภาพรวมว่ากลุ่มอุตสาหกรรมใดมีศักยภาพเติบโต หรือกลุ่มใดต้องการสนับสนุนเพิ่มเติม

ทุกโครงการที่ยื่นขอสินเชื่อกรีนกับ AF จะต้องมี certificate ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะระบุผลลัพธ์เชิงปริมาณอย่างละเอียด เช่น ลดการใช้พลังงานได้เท่าใด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กี่ตันต่อปี หรือสามารถลดการปล่อยมลภาวะประเภทใดได้บ้าง ข้อมูลนี้มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่มีความรู้เฉพาะทาง และใช้เป็นหลักฐานประกอบการอนุมัติสินเชื่ออย่างเป็นระบบ ทำให้ AF ไม่ต้องประเมินจากคำอธิบายหรือแผนงานเพียงอย่างเดียว แต่ประเมินจากผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้จริง

อุตสาหกรรมไหนน่าจับตา อุตสาหกรรมไหนที่ควรระวัง

ในมุมการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผู้บริหารกล่าวว่า AF มีการมอนิเตอร์อุตสาหกรรมเป็นรายปี เพื่อประเมินว่าอุตสาหกรรมใดควรเข้าไปสนับสนุน หากพบว่านวัตกรรมใหม่มีศักยภาพและมีพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ บริษัทก็พร้อมพัฒนาโครงการร่วมทันที โดยมีความเชื่อว่ารูปแบบการค้าต่อไปจะเปลี่ยนไปจากเดิม หากผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้สินเชื่อสามารถ “Empower” กันและกัน ก็จะช่วยให้ดีลการค้าปิดได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่ง SME มักไม่สะดวกจ่ายเงินก้อนใหญ่ตั้งแต่แรก

แต่ในขณะเดียวกัน AF ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงเรื่องการส่งมอบงาน การหาแหล่งทุนไม่เพียงพอ หรือความเสี่ยงที่จะนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แม้จะเป็นโครงการด้าน ESG ก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่บริษัทต้องกันไว้เป็นอันดับแรก เพราะสินเชื่อที่ยั่งยืนต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยทางการเงินและการควบคุมความเสี่ยงที่ตรวจสอบได้

AF ได้นำกลยุทธ์เชิงรุกเข้ามาใช้มากขึ้น โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านข้อมูล ESG Platform เพื่อให้เข้าถึงแผนการลงทุนของธุรกิจ เช่น แผนการปรับตัวเพื่อรองรับ CBAM หรือ Net Zero เมื่อเห็นข้อมูลล่วงหน้า AF สามารถเข้าไปเสนอสินเชื่อได้ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อเข้ามาด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของการทำตลาดที่เน้นการสนับสนุน SME ตั้งแต่ต้นน้ำ

ผู้บริหารยังย้ำว่าในอนาคต AF ต้องการให้ SME มี “กระบวนการ ESG” ภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ และ AF พร้อมทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง โดยใช้ประสบการณ์ของบริษัทร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ Machine Learning เพื่อมอนิเตอร์พฤติกรรมการใช้เงิน กระแสเงินสด และวัตถุประสงค์ของโครงการได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้ SME และหลักการ ESG เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง

นี่คือภาพที่เราอยากเห็นในอนาคต

ความเท่าเทียมที่ SME ควรได้รับ ข้อเสนอถึงภาครัฐ

ประเด็นการเข้าถึงเงินทุน ผู้บริหารมองว่า แม้ภาครัฐจะพยายามแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุนของ SME ผ่านหลายมาตรการ แต่ข้อจำกัดสำคัญยังอยู่ที่กลไกค้ำประกันสินเชื่อยังไม่ครอบคลุมผู้ให้บริการสินเชื่อทุกรูปแบบ เช่น ผู้ให้บริการ non-bank เพราะอยู่ใกล้ชิด SME หากผู้ให้บริการเหล่านี้สามารถเข้าถึงมาตรการค้ำประกันได้ จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของ SME อย่างมาก และทำให้ SME เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นจริง ซึ่งเป็นความเท่าเทียมที่ควรเกิดขึ้นทั้งในฝั่งผู้ให้บริการและผู้กู้

แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่ยังไม่เพียงพอ กลไกค้ำประกันสินเชื่อของรัฐควรเปิดกว้างอย่างเท่าเทียม ไม่จำกัดเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐหรือธนาคาร แต่ควรครอบคลุมผู้ให้บริการสินเชื่อรายอื่น เช่น ธุรกิจแฟคตอริ่งหรือ non-bank ที่อยู่ในระบบเอกชนทั่วไป เพื่อทำให้ SME เข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น ลดต้นทุนดอกเบี้ย และสนับสนุนให้ธุรกิจเอกชนที่ใกล้ชิดกับ SME สามารถมีบทบาทช่วยเหลือได้จริง

ภาพของ “สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง” ยิ่งชัดขึ้นเมื่อ ผู้บริหารอธิบายเพิ่มเติมว่า AF ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อแล้วจบ แต่ร่วมกับลูกค้าตั้งแต่วางแผนโครงการ การประเมินอุปกรณ์ การเลือกพันธมิตร เพื่อให้แน่ใจว่าเงินกู้ถูกใช้ตามวัตถุประสงค์และโครงการให้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

แนวคิดเรื่องการนำเทคโนโลยีอย่าง AI และ Machine Learning เข้ามาช่วยวิเคราะห์กระแสเงินสดและติดตามพฤติกรรมการใช้เงินของลูกค้า ถูกมองว่าเป็นอีกเครื่องมือที่เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการประเมินสินเชื่อและลดความเสี่ยงของโครงการ โดยเป็นทิศทางที่อาจช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อกรีนมีข้อมูลสนับสนุนที่ละเอียดขึ้น และทำให้กระบวนการต่าง ๆ มีความแม่นยำมากกว่าเดิม หากมีการนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคต

นอกจากประเด็นด้านเงินทุนแล้ว ผู้บริหารยอมรับว่า ตลาดพลังงานทดแทนของไทยยังมีความเสี่ยงบางประการ โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ และต้นทุนที่อาจสูงเกินจริงเนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังมีจำนวนจำกัด SME ที่ไม่มีความรู้เชิงเทคนิคอาจประเมินราคาไม่ถูกต้อง หรือถูกเสนอขายสินค้าที่ไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้การลงทุนไม่ให้ผลตามที่คาดหวัง จึงเสนอว่าควรมีหน่วยงานกลางที่ช่วยตรวจสอบและกำกับมาตรฐานอุปกรณ์พลังงานทดแทน เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวจะให้ผลลัพธ์จริง และไม่กลายเป็นภาระทางการเงินแก่ SME

ผมเห็นว่าหน่วยงานกลางควรเข้ามาช่วยรับรองมาตรฐานอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น โซลาร์รูฟท็อปหรือแบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ประกอบการและสถาบันการเงินมั่นใจว่าการลงทุนจะให้ผลตามจริง และไม่เสี่ยงต่อการซื้อสินค้าที่คุณภาพไม่ตรงมาตรฐาน

ท้ายที่สุด สิ่งที่ AF ต้องการสื่อสารไปยัง SME คือความสำคัญของข้อมูลที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ ซึ่งกำลังกลายเป็นเงื่อนไขหลักของการเข้าถึงแหล่งทุน ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในระบบหรืออยู่นอกระบบ หากมีเส้นทางรายได้ที่ชัดเจน เปิดเผยข้อมูลจริง และมี digital footprint ที่เพียงพอ การพิจารณาสินเชื่อก็สามารถทำได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวงเงินที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน

การค้าในทุก ecosystem  ต้องมีคนที่เสริมกันในทุกๆฝ่ายทั้งมิติทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์ มิติทางการเงิน จึงจะทำให้การขายสำเร็จ ลูกค้าก็น่าที่จะได้เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น ถ้ามีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริงแล้วก็สามารถให้ สามารถใช้ digital foodprint แกะเส้นทางเกี่ยวกับเรื่องของรายได้ ประเมินสถานะเครดิตที่อย่างถ่องแท้ ผมว่าก็เข้าถึงเงินทุนได้