KEY
POINTS
ในหลายปีที่ผ่านมา “ชฎาทิพ” ได้รับการยกย่องจากหลากหลายเวทีโลก และเป็นผู้หญิงไทยคนแรกที่ได้รับการจารึกชื่อในหอเกียรติยศของสภาการค้าปลีกโลก World Retail Hall of Fame 2019 ทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักธุรกิจสตรีผู้ทรงอิทธิพลของเอเชีย” จากนิตยสารฟอร์ปส์ เอเชีย เป็นเวลา 3 ปี
ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา “ไอคอนสยาม”ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 โครงการที่ดีที่สุดในโลกโดย MAPIC AWARDS และ “ชฎาทิพ” ได้รับรางวัลพิเศษ "PIONEER OF PLACES" จากเวทีเดียวกันนี้ ที่จัดเชิดชูเกียรติ Lifetime Achievement ของบุคคลผู้ทรงอิทธิพลเพียง 5 คนในโลก ที่เป็นผู้สร้างโครงการอันเป็นแรงบันดาลใจและเปลี่ยนโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกของโลกในรอบ 30 ปี
และ “ชฎาทิพ” เป็นนักธุรกิจจากเอเชียและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ ที่สะท้อนความเป็นผู้นำที่สร้างต้นแบบโครงการที่มีพลังเปลี่ยนเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนได้สำเร็จ เธอเป็น The Game Changer ตัวจริงที่สามารถพลิกทุกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างความสำเร็จให้แก่คู่ค้าและพันธมิตรเป็นวงกว้าง อีกทั้งเธอได้กำหนดมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการค้าปลีกโลก นำชื่อเสียงและเกียรติภูมิมาสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ผลงานที่โดดเด่นทำให้ “ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด คว้ารางวัล The Leadership Awards 2025 สาขา Innovation Leadership Award จากการพิจารณาโดยคณะกรรมการ 3 ฝ่ายประกอบไปด้วย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ฐานเศรษฐกิจ
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กรตั้งแต่แรกเริ่ม พันธกิจนี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นว่า การทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์นั้น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เราต้องทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ ด้วยแนวคิดนี้ ผู้บริหารทุกคนจึงมองภาพใหญ่อยู่เสมอ โดยคำนึงว่าทุกอย่างที่บริษัททำนั้น ไม่ได้ทำเพื่อผลกำไรของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่ทำนั้นต้องมีความหมายและสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้คนเป็นวงกว้าง
Key Success คือ เราต้องไปให้สุดเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย วิสัยทัศน์นี้เป็นวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และคำว่า ‘sustainability’ นั้นอยู่กับสยามพิวรรธน์มาตั้งแต่วันเปิดบริษัทเมื่อ 67 ปีที่แล้ว ด้วยหลักการที่ยึดมั่นในความยั่งยืนและการทำเพื่อส่วนรวมนี้เอง ทำให้เราสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำ และสยามพิวรรธน์ยังเป็น “Pioneer” คนแรก ที่ได้ทำในสิ่งซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยและประเทศไทย ที่สามารถนำชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศเราได้
“ชฎาทิพ” ย้ำถึงเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรที่สามารถผลักดันโครงการสำคัญของบริษัทให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นแลนด์มาร์กระดับโลกว่า ความสำเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากผู้บริหารเพียงคนเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือและความทุ่มเทของ “ทีมงานอันทรงพลัง” ตลอดจนพันธมิตรและลูกค้าที่สนับสนุนบริษัทมาอย่างยาวนาน
“การที่สยามพิวรรธน์สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ เป็นเพราะมีทีมงานที่ดี ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ ทีมงานนี้คือกลุ่มคนที่ยึดมั่นในวิสัยทัศน์เดียวกัน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานทุกคน ตลอดระยะเวลา 67 ปีที่ผ่านมา ทีมงานเหล่านี้ได้ร่วมกัน ทำสิ่งที่ใช้คำว่า “เป็นไปไม่ได้” ให้ “เป็นไปได้” ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือสิ่งที่ถือว่าเรามีทีมงานที่ทรงพลังจริง ๆ และการมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะทั้งองค์กรได้ช่วยกัน”
สยามพิวรรธน์ยึดหลักการทำงานสำคัญคือ “Make the impossible possible” หรือทำในสิ่งที่ยากให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำพาองค์กรให้สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่น ทั้งในด้านการพัฒนาโครงการ การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า และการยกระดับชื่อเสียงประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลก
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากผู้บริหารเพียงคนเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือและความทุ่มเทของ “ทีมงานอันทรงพลัง” ตลอดจนพันธมิตรและลูกค้าที่สนับสนุนมาอย่างยาวนาน”
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จทุกโครงการ ได้แก่ ทีมงานภายในองค์กรที่ทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาและบริหารโครงการให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก ทีมงานทุกฝ่ายตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ การตลาด การจัดกิจกรรม ไปจนถึงการบริหารพื้นที่ต่างร่วมผลักดันให้สินค้าและบริการของบริษัทตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ต้องยกเครดิตให้กับทีมงานของสยามพิวรรธน์เป็นอันดับแรก ทุกคนทำงานหนัก ฟันฝ่าอุปสรรค และมุ่งมั่นสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นจริง ดิฉันเชื่อมั่นว่าหากไม่มีทีมงานที่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ เราคงไม่สามารถมายืนอยู่ในจุดนี้ได้”
“ชฎาทิพ” บอกอีกว่า ความสำเร็จในหลายโครงการเกิดจากการสนับสนุนของพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าจำนวนมากที่เชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท ทั้งในด้านแบรนด์ที่เลือกเปิดสาขาในโครงการ การจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ และการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาไลฟ์สไตล์เดสติเนชันของประเทศ
“เราต้องขอบพระคุณลูกค้าและพันธมิตรทุกท่านที่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมลงทุน การจัดงาน และการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ของเรา สิ่งเหล่านี้ทำให้โครงการของสยามพิวรรธน์สามารถพัฒนาและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
อย่างไรก็ตาม แม้สยามพิวรรธน์จะประสบความสำเร็จในระยะหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เธอภาคภูมิใจมากที่สุด คือการที่โครงการของบริษัทสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่จับตาในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นไอคอนสยาม สยามพารากอน หรือสยามเซ็นเตอร์ ต่างได้รับการยอมรับในฐานะ “Global Destination” ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากเดินทางมาเยือนอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต
รางวัลระดับโลกที่ได้รับในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จขององค์กร แต่เป็น “ของขวัญให้ประเทศไทย” เพราะทุกความสำเร็จช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศให้สวยงามและสง่างามในสายตาชาวต่างชาติ
“ดิฉันขอมอบรางวัลทั้งหมดที่บริษัทได้รับให้กับประเทศไทยและคนไทยทุกคน เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีความโดดเด่น และมีจุดยืนเชิงวัฒนธรรมที่สามารถสร้างความแตกต่างบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง”
“สยามพิวรรธน์” จะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้คนทั่วโลกได้มาเยือนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และการยกระดับคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยให้ผสานกับนวัตกรรมด้านค้าปลีก ไลฟ์สไตล์ และศิลปวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน
“เราตั้งใจพัฒนาไอคอนสยาม สยามพารากอน และสยามเซ็นเตอร์ให้เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้หลงรักประเทศไทย เมื่อมาแล้วอยากกลับมาอีก และจดจำว่าประเทศไทยคือศูนย์กลางแห่งประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในระดับสากล” ชฎาทิพ กล่าวย้ำอีกว่า
Next Step ของสยามพิวรรธน์ คือการเป็น ‘Pioneer of Places’ หรือ “คนสร้างต้นแบบ” สำหรับการสร้างสถานที่ต่างๆ สถานที่ที่สยามพิวรรธน์สร้างขึ้นมานั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เป็น World Class และเป็นสถานที่ที่สามารถสร้างความหมายในเรื่องต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังต้องเป็น แพลตฟอร์มของโอกาสสำหรับทุกคน
ต่อมุมมองด้านเศรษฐกิจ “ชฎาทิพ” ย้ำว่า แม้หลายฝ่ายจะมีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้า แต่สยามพิวรรธน์ยังคงเดินหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง พร้อมผลักดันเป้าหมายที่วางไว้ตามแผนการทำงานที่ชัดเจน
“เศรษฐกิจปีหน้าเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล แต่เราวางแผนไว้แล้ว และเราจะทำให้สำเร็จ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่กลัวคือ “กลัวไม่ทำ กลัวไม่สร้างสิ่งใหม่ให้ประเทศ” เราทำงานหนักกันจนสุดความสามารถอยู่แล้ว”
“ชฎาทิพ” ยืนยันว่า สยามพิวรรธน์จะยังคงทำหน้าที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งมั่นผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และการค้าปลีกระดับโลกต่อไป…