In Brief
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงาน Sustainability Forum 2026 ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ภายใต้ธีม “Shift Forward: Overcoming Challenges” ในหัวข้อ Thai ESG Tools For Sustainable Investment ยกมาตรฐานตลาดทุนไทยด้วย ESG ว่า ตลาดทุนไทยยังคงให้ความสำคัญและเดินหน้าอย่างจริงจังเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืน (ESG) อย่างต่อเนื่อง มองว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และอยากเน้นย้ำว่า ESG ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นส่วนหนึ่งของ 'ทางรอด' ในอนาคต และเป็นโอกาสสำคัญในการแข่งขันกับทั่วโลก
จะเห็นได้ว่ากองทุนยั่งยืนทั่วโลกมีมูลค่าทรัพย์สินเติบโตอย่างมหาศาล และนักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจที่มีบริบทด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างมาก
หากประเทศไทยไม่เร่งพัฒนาในประเด็นนี้ อาจกลายเป็น 'ข้อด้อย' ที่ลดอำนาจการแข่งขัน หรือทำให้สินทรัพย์บางอย่างกลายเป็น 'สินทรัพย์ที่โลกลืม' ได้ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ กองทุนเกือบทั้งหมดทั่วโลกในปัจจุบันหลีกเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจถ่านหินแล้ว
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งสร้างความได้เปรียบด้วยซัพพลายเชนสะอาด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะด้านการส่งออก ธุรกิจไทยจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้นทุนที่ถูกที่สุด คือการที่ซัพพลายเชนของบริษัทต้อง 'สะอาด' และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
มองว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจเริ่มเกิดภาคบังคับเกี่ยวกับด้าน ESG มากขึ้นเรื่องๆ บังคับให้ธุรกิจต้องนับและเปิดเผยการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน หากสินค้าที่ส่งออกมีการปล่อยคาร์บอนมากเกินไป ทางยุโรปอาจเก็บภาษีเพิ่ม
แน่นอนว่าจะกระทบให้มูลค่าสินค้าแพงขึ้นและไม่สามารถแข่งขันได้ การสร้างระบบสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งเป็นผู้ค้าซื้อน้ำยางรายใหญ่ของโลก ได้สร้างแอปพลิเคชันเพื่อช่วยสวนยางในการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อรับรองว่ายางไม่ได้มาจากสวนที่ทำลายป่า
สำหรับนักลงทุน ตลาดทุนไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนอย่างก้าวกระโดด เช่น ตราสารหนี้ยั่งยืน (Sustainable Bond) ปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างสูงถึง 900,000 ล้านบาท ความต้องการของนักลงทุนต่อตราสารหนี้เหล่านี้มีมากเกินกว่าปริมาณที่เสนอขาย
จากความต้องการที่สูงนี้ทำให้นักธุรกิจที่มีโครงการสอดคล้องกับความยั่งยืนสามารถ ลดต้นทุนทางการเงิน (Cost of Funding) ลงได้
ในแง่ของกองทุน Thai ESG Fund ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) สูงถึง 135,293 ล้านบาท จาก 258 กองทุน
โดยกองทุน ESG ในไทยเติบโตเกือบ 6 เท่าภายในระยะเวลา 1 ปี จาก 11,564 ล้านบาท เป็น 78,292 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้ซื้อกองทุนนี้ยังเหลือวงเงินอีก 300,000 บาท สำหรับใช้ลดหย่อนภาษีได้เต็ม 100% ซึ่งเดือนธันวาคม 2568 นี้ เป็นเดือนสุดท้าย
ขณะเดียวกันเพื่อยกระดับตลาดทุนให้สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น ในปีหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปลี่ยนจากการใช้ SET ESG Rating มาใช้ มาตรฐานระดับโลกของ FTSE Russell แทน การเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานสากลนี้จะช่วยดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในตลาดทุนไทย และทำให้ธุรกิจไทยได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคที่ยังไม่มีมาตรฐานเท่าเทียมกัน
สำรับตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีภารกิจหลักสองด้านสำคัญ คือ การเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ (Infrastructure) และการสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ
1. การเสริมสร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) องค์กรให้ความสำคัญกับการลงโทษพฤติกรรมที่ไม่ดีให้เร็วขึ้น เพราะตามหลักการทางกฎหมาย ความล่าช้าทางความยุติธรรมเท่ากับไม่มีความยุติธรรม (delay justice equals no justice)
2. การสร้างโอกาส (Investment Opportunities)
หลายบริษัทได้ใช้ ESG เป็นตัวขับเคลื่อนและจุดขายที่สร้างความน่าสนใจในการดึงดูดการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น
ในท้ายที่สุดนี้ การผลักดันเรื่อง ESG และการยกระดับโครงสร้างตลาดทุนทั้งหมดนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน