net-zero

COP30 เปิดฉากพลิกดุลอำนาจโลก ปฏิรูปเงินทุนสภาพภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

In Brief

  • การประชุม COP30 ที่บราซิลมุ่งปฏิรูปการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศครั้งสำคัญ โดยตั้งเป้าระดมทุนใหม่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปลี่ยนจากการให้คำมั่นสัญญาไปสู่การลงมือปฏิบัติ
  • เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลก เมื่อสหรัฐฯ มีท่าทีถอนตัวจากข้อตกลง ขณะที่จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสะอาด และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ
  • วาระสำคัญนอกเหนือจากการเงิน คือการส่งมอบเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) ฉบับใหม่ที่เข้มข้นขึ้น และการผลักดันการคุ้มครองป่าไม้ ซึ่งบราซิลในฐานะเจ้าภาพให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน ถือเป็นวาระครบ 10 ปีของความตกลงปารีส ซึ่งประเทศต่าง ๆ ต้องกลับมายืนยันพันธกรณีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกครั้ง การประชุมครั้งนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นจุดสำคัญที่เปลี่ยนโฟกัสของโลกจาก "การให้คำมั่นสัญญา" ไปสู่ "การลงมือปฏิบัติ" และ "การส่งมอบผลลัพธ์"  แม้จะเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตหลายด้าน ทั้งการถอนตัวของสหรัฐจากความตกลง การฟื้นตัวช้าในยุโรป และความกังวลด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ท่าทีของประชาคมโลกได้เปลี่ยนจากการอภิปรายเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทะเยอทะยานไปสู่การให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนกับประเด็นด้านการเงิน การปรับตัว และความยุติธรรมเชิงเยียวยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิบัติการของกองทุนการสูญเสียและความเสียหาย (FRLD)

ความเป็นจริงเชิงวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า แม้จะมีความก้าวหน้าในการติดตั้งพลังงานหมุนเวียน แต่โลกกำลังเผชิญกับการเกินเป้าหมายอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดในช่วงต้นทศวรรษ 2030  การรับทราบความจริงอันหนักหน่วงนี้ทำให้วาระของ COP30 ยกระดับขึ้นไปสู่การเร่งรัดการสร้างความยืดหยุ่นและการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับภาคส่วนอย่างลึกซึ้ง

COP 30 วาระหลัก 5 ประเด็นชี้ชะตาโลก

เจ้าภาพบราซิลได้กำหนดแนวคิดหลักภายใต้ชื่อ “Global Mutirão” หรือ “การรวมพลังของประชาคมโลกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยมุ่งเน้น 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการสรุปผลลัพธ์อย่างชัดเจน 1.การส่งมอบแผน NDCs ฉบับที่ 3.0 (NDC 3.0) ทุกประเทศต้องยื่น เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดโดยประเทศ (Nationally Determined Contributions) ฉบับใหม่ที่ต้องทะเยอทะยานมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศา และต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593

2.การกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation: GGA) การเปลี่ยนจากการพูดถึงการปรับตัวไปสู่การกำหนด ตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อประเมินความก้าวหน้าและความสามารถของแต่ละประเทศในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบของสภาพอากาศ

3.แผนงานการเงินใหม่ (Baku to Belém Roadmap to 1.3T) การผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย การระดมทุนด้านสภาพภูมิอากาศให้ได้ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2578 โดยเน้นการเข้าถึงทุนที่ เท่าเทียมและโปร่งใส สำหรับประเทศกำลังพัฒนา

4.กองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund - LDF): การทำให้กองทุนนี้เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และต้องมีเงินทุนเข้าสู่ระบบอย่างเพียงพอ

5.การคุ้มครองป่าไม้และระบบนิเวศ การผลักดันให้เกิดการลงทุนเพื่อ ยุติและพลิกฟื้นการตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะป่าเขตร้อนซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนหลักของโลก

อีกด้านหนึ่งเมื่อเข้าสู่ COP30 โลกยิ่งเห็นสัญญาณของทิศทางที่เปลี่ยนไป ทั้งท่าทีสหรัฐ จีน บราซิล และประเทศต่าง ๆ ท่ามกลางแรงกดดันด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

จีนเดินหน้าเสริมบทบาทผู้นำด้านเทคโนโลยีสะอาด

จีนมองเทคโนโลยีสะอาดเป็นแกนกลางของยุทธศาสตร์ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ตั้งแต่การผลักดันให้เกิด “การพัฒนาคุณภาพสูง” ไปจนถึงนวัตกรรม ความมั่นคงทางพลังงาน และสถานะบนเวทีโลก การพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ กังหันลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก รวมถึงแผนห้าปีฉบับที่ 15

ในช่วงที่สหรัฐลดการดำเนินนโยบายด้านภูมิอากาศลง จีนกลับเร่งการผลักดันเพื่อก้าวขึ้นเป็น “รัฐไฟฟ้า” (electrostate) และผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสีเขียวรายสำคัญของโลก พร้อมทั้งใช้ความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีสะอาดต่อยอดไปยังเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ โดรน และยานยนต์ไร้คนขับ

อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งการปฏิรูปภาคไฟฟ้า การชะลอตัวเล็กน้อยของกำลังการติดตั้งพลังงานหมุนเวียน การขยายตัวของกฎควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และความผิดหวังของบางฝ่ายต่อเป้าหมาย NDC ปี 2035 แม้บางคนมองว่าจีนใช้กลยุทธ์ “ตั้งเป้าต่ำ ทำได้มากกว่าเป้า” ก็ตาม

ท่าทีสหรัฐที่เปลี่ยนไปและแรงกดดันต่อกระบวนการยุติธรรมด้านภูมิอากาศ

ก่อนการประชุม COP30 ภูมิรัฐศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เดินหน้าหารือด้านการเงินภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ผู้นำสหรัฐกลับมีแผนไม่เข้าร่วมการประชุม และกำลังวางตัวเป็น “ผู้นำฝ่ายคัดค้านเศรษฐกิจสีเขียวโลก” พร้อมกดดันให้ประเทศอื่นลดการดำเนินนโยบายลดคาร์บอนลงด้วย

การถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากความตกลงปารีสเป็นครั้งที่สองในเดือนมกราคม 2567 การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศ ทำให้ความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศลดลง และทำให้เป้าหมายทางการเงินใหม่ระดับโลกที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์บรรลุผลได้ยากขึ้น การขาดหายไปของเงินทุนนี้คิดเป็นอย่างน้อย 18,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับ 6 % ของเป้าหมายประจำปี 300,000 ล้านดอลลาร์ที่กำหนดไว้ใน NCQG การตัดสินใจนี้เป็นการโจมตีโดยตรงต่อการมีส่วนร่วมทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ

ในขณะที่สหภาพยุโรปยังคงมีกรอบนโยบายที่ครอบคลุม (เช่น Fit for 55)  จีนได้ยื่น NDC ใหม่เมื่อเดือนกันยายน 2568 โดยมีเป้าหมายที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิทั้งระบบเศรษฐกิจลง 7-10% จากระดับสูงสุดภายในปี 2578  แม้ว่าแผนเหล่านี้จะเป็นขั้นตอนในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ความทะเยอทะยานโดยรวมยังคงต่ำกว่าความเร็วที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส

ความแตกแยกเหนือ-ใต้และการปฏิรูปทางการเงิน

การถอนตัวของสหรัฐฯ สร้างช่องว่างที่ทำให้ประเทศอื่นๆ รวมถึง Global South ต้องเข้ามาเป็นผู้นำ และขับเคลื่อนวาระการปฏิรูปเชิงระบบ ท่าทีโลกที่เปลี่ยนไปนี้จึงเน้นย้ำความจำเป็นในการมีแนวทางการกำกับดูแลที่กระจายตัวและนำโดยภูมิภาคมากขึ้น

ประเทศกำลังพัฒนาได้ใช้โอกาสที่ COP30 จัดขึ้นในบราซิล ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเรียกร้องอย่างต่อเนื่องสำหรับ ความยุติธรรมเชิงเยียวยา และการชดเชยค่าเสียหายสำหรับความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) 32 ประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องเงินทุนที่เร่งด่วนและเท่าเทียม ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเน้นการระดมทุนภาคเอกชนและความรับผิดชอบร่วมกัน เรียกร้องให้มีการปฏิรูปธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคี (MDBs) โดยเปลี่ยนจากการรักษางบดุลไปสู่การแบ่งปันความเสี่ยง เพื่อใช้เครื่องมือเช่นการค้ำประกันในการดึงดูดเงินทุนภาคเอกชนเข้าสู่ Global South

นอกจากนี้ วาระของบราซิลยังรวมถึงการใช้โซลูชันทางการเงินที่เป็นนวัตกรรม เช่น การแปลงหนี้อธิปไตยเป็นการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจปลดล็อกเงินทุนได้ถึง 100,000 ล้านดอลลาร์  และการรื้อถอนข้อตกลงที่อนุญาตให้บริษัทเอกชนฟ้องร้องรัฐบาลในเรื่องนโยบายสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นอุปสรรคทางกฎหมายที่ทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายไปแล้ว 83,000 ล้านดอลลาร์

บราซิลชูบทบาทผู้นำด้านการปกป้องป่าเขตร้อน

การประชุม COP30 จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุม Hangar Convention Centre ในเมืองเบเลง ประเทศบราซิล การเลือกเมืองที่ตั้งอยู่ริมขอบของป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น มีเจตนาเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าเขตร้อน  และทำให้ COP30 ถูกขนานนามว่าเป็น “Forest COP” 

ฝ่ายประธานบราซิลมุ่งมั่นที่จะผลักดันการแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติ (Nature-Based Solutions: NBS) ความหลากหลายทางชีวภาพ และการออกคำมั่นสัญญาใหม่ในการปกป้องป่า คาดว่าจะมีผลลัพธ์สำคัญรวมถึงการเปิดตัวกองทุน Tropical Forest Forever Facility (TFFF) ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบแรงจูงใจทางการเงินเพื่อให้ป่าคงอยู่ แม้ยังขาดเงินทุนจำนวนมากก็ตาม

ในประเทศบราซิลสามารถลดอัตราการตัดไม้ทำลายในแอมะซอนและเซร์ราโดนับตั้งแต่ประธานาธิบดีลูลาเข้ารับตำแหน่งในปี 2021 หลังจากการตัดไม้ทำลายป่าที่พุ่งสูงในยุครัฐบาลโบลโซนารู อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางนโยบายยังเปราะบาง โดยการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชนพื้นเมืองหลายแห่งยังถูกจำกัดจากทรัพยากรด้านการบังคับใช้ และผู้บุกรุกพื้นที่สามารถกลับเข้ามาได้หลังทหารถอนกำลัง

นอกจากนี้ เซร์ราโดยังเผชิญความกดดันจากการเกษตรอย่างหนัก แม้เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนและมีความสำคัญต่อระบบน้ำของบราซิล แต่กลับได้รับการคุ้มครองน้อยกว่าแอมะซอนมาก

การเป็นเจ้าภาพในภูมิภาคที่ห่างไกลและกำลังพัฒนาอย่างเบเลงได้สร้างความท้าทายด้านองค์กรที่สำคัญ  รวมถึงวิกฤตที่พักอาศัย การกำหนดราคาสูงเกินจริง และความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมือง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การก่อสร้างทางหลวงสี่ช่องทางใหม่ Avenida Liberdade ซึ่งถูกรายงานว่าถูกใช้เป็นเหตุผลในการตัดผ่านป่าฝน สร้างความตึงเครียดและทำให้เกิดคำถามที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับมลพิษ ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน