net-zero

COP30 โลกหาคำตอบจะหาเงินจากไหนรับมือค่าใช้จ่ายโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นทุกปี

In Brief

  • การประชุม COP30 มีประเด็นสำคัญคือการหาแหล่งเงินทุนมหาศาล (Climate Finance) เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ในการรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สูงขึ้น
  • เกิดความขัดแย้งว่าใครควรเป็นผู้จ่ายเงินทุน โดยมีแรงกดดันให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ปล่อยมลพิษสูงอย่างจีนร่วมรับผิดชอบ ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าแทนเงินกู้
  • เงินทุนที่จัดสรรในปัจจุบันยังต่ำกว่าความต้องการจริงอย่างมาก โดยเป้าหมายเดิมที่ 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีเพิ่งบรรลุผล ขณะที่ความต้องการจริงอาจสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
  • แนวทางใหม่ที่ถูกจับตามองคือการดึงดูดเงินทุนจากภาคเอกชน ผ่านกลไกอย่าง “การเงินแบบผสม” (Blended Finance) และกองทุนอนุรักษ์ป่าฝนที่บราซิลจะผลักดันในการประชุม

ประเทศต่าง ๆ ที่พยายามเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ขณะเดียวกันต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วและผลกระทบอื่น ๆ จากภาวะโลกร้อน จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล เมื่อค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจากโลกร้อนเพิ่มขึ้น ประเด็น “การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ” จึงทวีความตึงเครียดมากขึ้น

Climate Finance คืออะไร

การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ หมายถึงเงินทุนจากรัฐบาล ธนาคารพัฒนา นักลงทุนเอกชน และองค์กรการกุศล ที่มีเป้าหมายช่วยประเทศต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปรับตัวรับมือผลกระทบจากภูมิอากาศ เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน หรือระบบป้องกันน้ำท่วม

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

หากขาดแหล่งเงินทุนด้านภูมิอากาศ ประเทศยากจนจะประสบความลำบากในการลดคาร์บอนจากเศรษฐกิจและปกป้องประชากรกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด ข้อตกลงสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 1992 จึงระบุว่า ประเทศเหล่านี้ควรแบกรับภาระในการแก้ปัญหาน้อยกว่า

การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศยังกลายเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นในการเจรจาภูมิอากาศระหว่างประเทศ โดยจำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยให้คำมั่นถือเป็นสัญญาณของความจริงจังในการแก้ไขวิกฤติ

ประเด็นขัดแย้งหลักคืออะไร

ประเทศต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันว่าใครควรจ่ายเงินทุนเท่าใด และควรจัดสรรอย่างไร เดิมทีมีเพียงประเทศอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และชาติยุโรป ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก แต่ปัจจุบันเริ่มมีแรงกดดันให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ปล่อยมลพิษสูงอย่างจีน อินเดีย และประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ร่วมรับผิดชอบด้วย อย่างไรก็ตาม จีนยังยืนยันว่าควรได้รับการปฏิบัติในฐานะประเทศกำลังพัฒนาภายใต้ข้อตกลงสหประชาชาติ

ขณะเดียวกัน ประเทศกำลังพัฒนาที่มีภาระหนี้สูงอยู่แล้ว ต่างเรียกร้องให้สนับสนุนด้วย “เงินให้เปล่า” มากกว่า “เงินกู้” รายงานของธนาคารโลกเมื่อเดือนธันวาคมระบุว่า หนี้ต่างประเทศของประเทศรายได้ต่ำและปานกลางเพิ่มขึ้นกว่า 2.05 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.8 ล้านล้านดอลลาร์

เป้าหมายใดที่ตั้งไว้และบรรลุแล้วบ้าง

เป้าหมายแรกของการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศถูกกำหนดในปี 2009 โดยประเทศร่ำรวยให้คำมั่นว่าจะจัดสรรเงินปีละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์  จากนั้นเพิ่มเป็น 1 เเสนล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2020 แต่เป้าหมายนี้เพิ่งจะบรรลุเต็มจำนวนในปี 2022

แยกต่างหาก ธนาคารพัฒนาพหุภาคีรายงานว่าได้จัดสรรเงินด้านภูมิอากาศราว 1.37 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2024 โดย 62% หรือประมาณ 8.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งตรงไปยังประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.25 แสนล้านดอลลาร์ 

ข้อตกลง COP29 เมื่อปีที่แล้วรวมกลุ่มผู้บริจาคทั้งสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ตั้งเป้าใหม่ที่ 3 เเสนล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 โดยในช่วงก่อนหน้านั้นถึงปี 2035 จะยังคงใช้เป้าเดิม 1เเสนล้านดอลลาร์ แม้ว่าเอกสารของสหประชาชาติจะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน

ตัวเลขเงินทุนเกี่ยวข้องมากแค่ไหน

เงินทุนจากรัฐบาลประเทศร่ำรวยกำลังกลายเป็นทุนที่ดึงดูดเงินลงทุนจากภาคเอกชนเข้าสู่กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ

องค์กรไม่แสวงกำไร Climate Policy Initiative ประเมินว่า การไหลเวียนของเงินทุนด้านภูมิอากาศทั่วโลกในปี 2022 อยู่ที่ราว 1.46 ล้านล้านดอลลาร์ โดยครึ่งหนึ่งมาจากการลงทุนภาคเอกชน และเพิ่มขึ้นเกือบแตะ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่ประชุม COP29 ที่บากู มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะเพิ่มเงินทุนประจำปีอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีรัฐมนตรีการคลังหลายสิบประเทศร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ Baku-to-Belem เพื่อเสนอแนวทางบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับความต้องการจริงที่ Climate Policy Initiative ประเมินว่าต้องใช้ปีละ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านภูมิอากาศของโลก

เฉพาะประเทศกำลังพัฒนา (ไม่นับรวมจีน) หลังปี 2030 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านการเงินภูมิอากาศ (Independent High-Level Expert Group on Climate Finance) ประเมินว่าต้องใช้เงินปีละ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035

ประเทศเริ่มลดงบสนับสนุน ควรเดินต่ออย่างไร

ประเทศร่ำรวยได้ปรับลดงบประมาณช่วยเหลือการพัฒนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันด้านความมั่นคงพลังงาน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายที่แข่งขันกัน เช่น งบสงครามและการพัฒนา AI โดยข้อมูลเบื้องต้นจาก OECD ระบุว่า เงินช่วยเหลือต่างประเทศรวมเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 2.121 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงกว่า 7% จากปีก่อนหน้า

สถานการณ์นี้ทำให้ความสนใจหันไปสู่การดึงดูดเงินทุนเอกชนมากขึ้น ผ่านการปรับกฎเกณฑ์ทางการเงิน การจัดอันดับเครดิต การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพหุภาคี และการสร้างเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่

แนวคิดหนึ่งคือ “การเงินผสม” (Blended Finance) ซึ่งรัฐบาลและองค์กรการกุศลจะยอมรับผลขาดทุนหรือผลตอบแทนต่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเอกชนเข้าร่วมโดยมีความเสี่ยงน้อยลง

ขณะเดียวกัน บราซิลกำลังกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ในที่ประชุม COP30 สนับสนุน “กองทุนป่าฝนเขตร้อนตลอดกาล” (Tropical Forests Forever Facility –TFFF) ที่เพิ่งเปิดตัว โดยมีเป้าหมายระดมทุนจากรัฐบาลและองค์กรการกุศล 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อดึงดูดเงินเอกชนอีก 1 เเสนล้านดอลลาร์เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการอนุรักษ์ป่าฝน