In Brief
ทั่วโลกกำลังสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างมหาศาลจากกิจกรรมทางเกษตร การทำไม้ การทำเหมือง และไฟป่าในแต่ละปีมากกว่า 20 ล้านเอเคอร์ในปี 2024 เพียงปีเดียว คิดเป็นพื้นที่ขนาดใกล้เคียงรัฐเซาท์แคโรไลนา
นี่คือข่าวร้าย เพราะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ป่าไม้เขตร้อน” มีบทบาทสำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำฝน เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลายชนิด และทำหน้าที่เป็น “เทอร์โมสแตตของโลก” โดยดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไว้ในดินและต้นไม้ ป้องกันไม่ให้คาร์บอนดังกล่าวเข้าสู่ชั้นบรรยากาศซึ่งจะทำให้โลกร้อนขึ้น องค์การสหประชาชาติประเมินว่า การตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่าในระดับโลกคิดเป็นประมาณ 11% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศได้ให้คำมั่นว่าจะพลิกฟื้นการสูญเสียพื้นที่ป่า และมีองค์กร รัฐบาล ชุมชนท้องถิ่น และชนพื้นเมืองจำนวนมากที่พยายามผลักดันเป้าหมายนั้น ซึ่งบางส่วนก็ประสบความสำเร็จอย่างน้อยในระดับหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น บราซิลให้เครดิตกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้นและระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพในระดับรัฐและระดับชาติว่าสามารถช่วยลดการบุกรุกพื้นที่และการตัดไม้ทำลายป่าในลุ่มน้ำอเมซอนได้ โดยอัตราการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศลดลงถึง 31% ระหว่างปี 2023 ถึง 2024
เงินทุนจากภาครัฐและภาคเอกชนยังช่วยสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลายไปแล้ว ขณะที่อีกหลายโครงการใช้แนวทาง “จ่ายเพื่อบริการของระบบนิเวศ” (payments for ecosystem services) เช่น การจ่ายเงินให้เจ้าของที่ดินเพื่อรักษาป่าเดิมไว้และรักษาประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมที่ป่านั้นสร้างขึ้น โครงการเหล่านี้จะมอบเงินให้กับรัฐบาล ชุมชน หรือเจ้าของที่ดินตามผลลัพธ์ที่ตรวจสอบได้ว่ามีการอนุรักษ์ป่าอย่างต่อเนื่องจริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามหลากหลายรูปแบบ โลกยังคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการคุ้มครองป่าไม้เขตร้อนได้ โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว โลกสูญเสียป่าไม้เขตร้อนมากถึง 6.7 ล้านเฮกตาร์ หรือเกือบ 26,000 ตารางไมล์ (67,000 ตารางกิโลเมตร)
การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เมื่อการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอลง เช่นในช่วงปี 2019 ถึง 2023 ของบราซิล การบุกรุกและการตัดไม้ผิดกฎหมายก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับโครงการจ่ายเงินเพื่อให้เจ้าของที่ดินรักษาป่าไว้ซึ่งอาจลดการตัดไม้ได้เพียงชั่วคราวหากไม่มีการต่ออายุการชำระเงินในระยะยาว
ปัญหาหลักคือ การตัดไม้ทำลายป่ามักถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ความต้องการพืชผล ปศุสัตว์ และแร่ธาตุอย่างทองคำและทองแดงในตลาดโลก ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร บริษัท และรัฐบาลเดินหน้าขยายพื้นที่ทำกินอย่างต่อเนื่อง
เงินทุนทั่วโลกที่จัดสรรเพื่อการคุ้มครองป่ามีเพียงราว 5.7 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ “หลายหมื่นล้านดอลลาร์” ที่ธนาคารและนักลงทุนทุ่มให้กับบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า
พูดง่ายๆ ก็คือ ปัญหาการทำลายป่ามีขนาดใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ด้วยมาตรการเดิม
เพื่อเพิ่มแหล่งเงินทุนในการคุ้มครองป่าไม้เขตร้อน บราซิลได้เปิดตัว “โครงการกลไกทางการเงินเพื่อป่าไม้เขตร้อนถาวร” (Tropical Forest Forever Facility: TFFF) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 ก่อนการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP30) ถือเป็นแนวทางเชิงนวัตกรรมที่ผสมผสานเงินทุนจากประเทศต่าง ๆ และนักลงทุนเอกชนเพื่อชดเชยให้ประเทศที่สามารถอนุรักษ์ป่าเขตร้อนได้สำเร็จ
อะไรทำให้ “Tropical Forest Forever Facility” แตกต่าง
TFFF มุ่งแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าผ่านการจัดการในระดับ “ขนาด” ทั้งเชิงพื้นที่และเชิงเศรษฐกิจประการแรก โครงการจะวัดผลลัพธ์ในระดับ “ประเทศ” แทนการประเมินในระดับเจ้าของที่ดินรายย่อย วิธีนี้ช่วยให้การลดการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นในวงกว้างและสามารถส่งผลต่อการปรับนโยบายระดับชาติที่เป็นสาเหตุของปัญหาได้ โดยโครงการจะเน้นวัดพื้นที่ป่าที่ได้รับการคุ้มครองมากกว่าการประเมินปริมาณคาร์บอนในต้นไม้
ประการที่สอง TFFF ตั้งเป้าระดมเงินระดับ “พันล้านดอลลาร์” เพื่อชดเชยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจจากการถางป่าเพื่อทำเกษตร ปศุสัตว์ และการค้าไม้
กลไกการระดมทุนของโครงการน่าสนใจ บราซิลตั้งเป้าหาเงินเริ่มต้น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์จากรัฐบาลและมูลนิธิทั่วโลก ก่อนจะเปิดรับอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ จากนักลงทุน เงินเหล่านี้จะถูกนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้นและพันธบัตร และผลตอบแทนจากการลงทุน (หลังหักส่วนแบ่งของนักลงทุน) จะถูกจ่ายให้ประเทศที่พิสูจน์ได้ว่าประสบความสำเร็จในการปกป้องป่าไม้
ประเทศที่ได้รับเงินชดเชยตามผลลัพธ์จะต้องนำเงินนั้นกลับไปลงทุนในโครงการอนุรักษ์ป่าต่อ โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ที่ทำงานปกป้องป่าจริง รวมถึงกำหนดให้ไม่น้อยกว่า 20% ของเงินทั้งหมดถูกส่งตรงไปยังชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมือง ซึ่งพื้นที่มักมีอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่ำที่สุด
สุดท้าย TFFF ยอมรับว่าไม่ใช่ทางออกเดียวของปัญหา แต่ถูกออกแบบให้เสริมกับโครงการและนโยบายอื่น เช่น ตลาดคาร์บอน ที่ระดมทุนเพื่ออนุรักษ์ป่าผ่านการขายคาร์บอนเครดิตให้แก่รัฐบาลและบริษัทที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอน
ปฏิกิริยาต่อโครงการเป็นอย่างไร
กองทุนใหม่นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากขนาด เงินทุน และโครงสร้างการออกแบบ บราซิลและอินโดนีเซียเป็นสองประเทศแรกที่ให้คำมั่นบริจาคประเทศละ 1 พันล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยนอร์เวย์ที่ประกาศเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน และยังมีอีกหลายประเทศที่แสดงเจตจำนงจะเข้าร่วม
แม้ TFFF ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายการระดมทุน 1.25 แสนล้านดอลลาร์ แต่คาดว่าจะได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมในช่วงการประชุม COP30 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ที่ประเทศบราซิล โดยเป็นครั้งแรกที่ผู้นำและผู้แทนจากทั่วโลกจะประชุมกันในลุ่มน้ำอเมซอน
จะพัฒนา TFFF ให้ดีขึ้นได้อย่างไร
โครงสร้างของ TFFF เผชิญคำวิจารณ์ในบางด้าน ทั้งเรื่องวิธีระดมทุนและการส่งต่อเงินผ่านรัฐบาลระดับชาติ แม้ว่ารูปแบบนี้อาจดึงดูดนักลงทุนได้มาก แต่หากผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ดีในบางปี กองทุนอาจไม่มีเงินจ่ายตามคาด ทำให้เกิดช่องว่างในการสนับสนุนโครงการและชุมชนที่ทำหน้าที่อนุรักษ์ป่า
กองทุนระหว่างประเทศที่มีอยู่หลายแห่ง เช่น กองทุน Amazon Fund และ Global Environment Facility ของสหประชาชาติ มักจัดสรรเงินเฉพาะให้รัฐบาลกลาง แต่ในความเป็นจริง งานด้านนโยบาย การดำเนินการ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่ออนุรักษ์ป่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระดับรัฐและจังหวัด
แนวทางหนึ่งที่จะทำให้การดำเนินงานของ TFFF มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือ การเปิดให้รัฐบาลระดับรัฐและจังหวัดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะใช้เงินอย่างไร และต้องมั่นใจว่าเงินนั้นส่งถึงผู้ที่ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่
คณะทำงาน Governors’ Climate and Forests Task Force ซึ่งประกอบด้วยรัฐบาลท้องถิ่น 45 รัฐและจังหวัดจาก 11 ประเทศ ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าว และได้จัดทำ “Blueprint for a New Forest Economy” เพื่อเชื่อมโยงโครงการอย่าง TFFF เข้ากับการอนุรักษ์ป่าในระดับชุมชน เพื่อให้เงินทุนเข้าถึงโครงการที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง