In Brief
คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกฎหมายสิ่งแวดล้อมโลก โดยระบุว่า รัฐทุกประเทศมีพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศในการป้องกันและแก้ไขวิกฤตภูมิอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติทั้งหมด ขณะเดียวกัน COP30 กำลังเผชิญแรงกดดันให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว ทั้งในด้านการลดการปล่อยคาร์บอน ยุติฟอสซิล และจัดสรรเงินสนับสนุนเพื่อความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ
คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อยอดจากคำพิพากษาหลายร้อยคดีด้านภูมิอากาศทั่วโลกตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และเพิ่มน้ำหนักทางกฎหมายให้กับคำตัดสินสำคัญของศาลสิทธิมนุษยชนระหว่างสหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2025 และศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศในเดือนพฤษภาคม 2024
กรณีของศาลโลกครั้งนี้ถูกยกย่องว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกม ของความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ เพราะเป็นครั้งแรกที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกถูกนำขึ้นสู่ศาลสูงสุดของโลกอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำว่าหน้าที่ทางกฎหมายสากลในการไม่ก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะอันตรายทางสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เป็นข้อผูกพันที่ใช้ได้กับทุกประเทศ โดยไม่ขึ้นอยู่กับการให้สัตยาบันสนธิสัญญา เช่น ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศถอนสหรัฐออกในวันแรกของการเข้าทำหน้าที่
ผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติ 25 คน รวมถึงผู้รายงานพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ชนพื้นเมือง และการศึกษา พร้อมผู้เชี่ยวชาญสิทธิมนุษยชนอีกกว่า 20 คน เตรียมออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลโลกอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมผลักดันให้ห้ามล็อบบี้ยิสต์ของอุตสาหกรรมฟอสซิลเข้าร่วมการประชุม และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดการดำเนินการด้านภูมิอากาศที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความน่าเชื่อถือของการประชุม COP30 ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบรรลุผลลัพธ์ที่มีความหมายในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสร้างความร่วมมือทางการเงินและเทคโนโลยีระหว่างประเทศ
โดยต้องมุ่งเน้นไปที่เชื้อเพลิงฟอสซิลและเงินอุดหนุนที่เป็นปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน เช่น สุขภาพ ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ มาตรฐานการครองชีพ การศึกษา และวัฒนธรรม
ยืนยันว่ารัฐทุกประเทศมีหน้าที่ทางกฎหมายในการป้องกัน บรรเทา และเยียวยาความเสียหายต่อระบบภูมิอากาศ โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษหลักต้องเริ่มดำเนินการก่อน พร้อมร่วมมือกันโดยสุจริตตามหลักความรับผิดชอบร่วมแต่แตกต่าง (CBDR) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเจรจาและข้อถกเถียงในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
ศาลยังปฏิเสธข้อโต้แย้งจากประเทศผู้ปล่อยมลพิษสูง เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร จีน สหภาพยุโรป รัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย ที่อ้างว่าภาระผูกพันของตนจำกัดอยู่เพียงภายใต้กรอบความตกลงอย่างเป็นทางการ เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (UNFCCC) พิธีสารเกียวโต และข้อตกลงปารีส
ศาลยืนยันว่า สิทธิของมนุษย์ทุกคนในการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และยั่งยืน” เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของสิทธิในการมีชีวิต สุขภาพ อาหาร น้ำ และที่อยู่อาศัย ดังนั้น หน้าที่ในการป้องกันหายนะทางภูมิอากาศจึงเป็นพันธกรณีที่เกิดจากกฎหมายระหว่างประเทศโดยรวม รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ทุกประเทศต้องป้องกันอันตรายข้ามพรมแดนที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
ประเด็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คำวินิจฉัยของศาลได้ยกระดับเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากเป้าหมายไปสู่เกณฑ์ทางกฎหมายที่แต่ละประเทศต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย และต้องสะท้อนความพยายามในแผนลดการปล่อยคาร์บอน (NDCs) ของตน
อย่างไรก็ตาม การประชุม COP ยังคงเป็นกระบวนการพหุภาคีที่ต้องอาศัยมติเอกฉันท์ ซึ่งเปิดช่องให้ประเทศมหาอำนาจสามารถใช้สิทธิยับยั้งหรือกดดันประเทศเล็กที่พึ่งพาความช่วยเหลือเพื่อขัดขวางข้อตกลงที่ไม่เป็นประโยชน์
เอลิซา มอร์เกรา ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกล่าวว่าหลังจากคำวินิจฉัยที่ชัดเจนของศาลโลก หากยังไม่เห็นการตัดสินใจที่มีความหมายเกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิล การประชุม COP จะไม่สามารถถือว่ามีความชอบธรรมได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมพลังงานยังคงมีอิทธิพลสูง และคาดว่าจะเข้าร่วม COP30 โดยเฉพาะเมื่อเจ้าภาพคือ บราซิล ซึ่งเพิ่งผ่อนคลายกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมเพื่อเปิดทางให้มีการขุดน้ำมันเพิ่มในลุ่มน้ำแอมะซอน
คำวินิจฉัยเน้นย้ำภาระของประเทศพัฒนาแล้วในการยุติการใช้ฟอสซิลโดยเร็วที่สุด
เพื่อป้องกันความสูญเสียเพิ่มเติม และต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินและเทคนิคแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อการปรับตัว แต่แม้ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งอเมริกาจะระบุเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายอย่างชัดเจน ศาลโลกไม่ระบุไว้โดยตรง ทำให้ภาระในการเรียกร้องยังอยู่ที่ชุมชนหรือประเทศผู้เสียหายที่จะต้องดำเนินคดีเอง
นักเคลื่อนไหวด้านภูมิอากาศชาวอินเดีย ฮาร์จีต ซิงห์ กล่าวว่า คำวินิจฉัยนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวในเมืองเบเลง โดยเป็นคานงัดทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและการชดใช้ในรูปแบบใหม่ และเน้นว่าต้องทำให้สังคมรับรู้และกดดันให้รัฐบาลปฏิบัติตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง