net-zero

COP30 บราซิล 4 เดิมพันความร่วมมือโลกเพื่อสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติ

In Brief

  • การประชุม COP30 เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทุกประเทศต้องยื่นแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ (NDCs) ฉบับใหม่ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อลดช่องว่างระหว่างคำมั่นสัญญาและเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
  • การประชุมที่จัดขึ้นในบราซิลจะเน้นย้ำความเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศ โดยผลักดันกลไกทางการเงินใหม่เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
  • การระดมทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญ โดย COP30 ต้องสร้างความก้าวหน้าในการจัดหาเงินทุนช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งในด้านการปรับตัวและการลดผลกระทบ
  • ระบบอาหารและภาคเกษตรกรรมจะถูกหยิบยกเป็นวาระสำคัญ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตอาหารที่ยั่งยืนและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซหลักของโลก

การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นครบรอบ 10 ปีเต็มนับจากข้อตกลงปารีสในปี 2015 เมื่อวาระด้านภูมิอากาศต้องเผชิญกับภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ในอดีต รัฐบาลทั่วโลกเป็นผู้นำการขับเคลื่อนด้านภูมิอากาศด้วยแรงสนับสนุนทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ภาคเอกชนเริ่มมีบทบาทสำคัญ ตลาดสีเขียวกำลังขยายตัว และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจจริงกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าความทะเยอทะยานด้านนโยบายกลับลดลง ทำให้ช่องว่างระหว่างสิ่งที่โลกจำเป็นต้องทำกับสิ่งที่รัฐบาลให้คำมั่นไว้ ยังคงกว้างอย่างน่ากังวล

COP30 จึงเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาว่ากลไกที่ข้อตกลงปารีสวางไว้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่การดำเนินการด้านภูมิอากาศเริ่มพิสูจน์แล้วว่ามีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงมากขึ้น

ข้อมูลจากพันธมิตรผู้นำซีอีโอเพื่อภูมิอากาศของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (World Economic Forum’s Alliance of CEO Climate Leaders) ซึ่งมีรายได้รวมกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ จากบริษัทกว่า 130 แห่ง พบว่า ระหว่างปี 2019–2023 สมาชิกสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมได้ถึง 12% ขณะที่รายได้เติบโตขึ้น 20% ตลาดเทคโนโลยีสีเขียวทั่วโลก เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม รถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ เติบโตเกือบ 4 เท่านับจากปี 2015 จนมีมูลค่ารวมกว่า 700 พันล้านดอลลาร์ต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางพาณิชย์ของเศรษฐกิจสีเขียว

อย่างไรก็ตาม แรงขับจากภาคเอกชนต้องเผชิญแรงต้านจากความไม่แน่นอนด้านนโยบาย งบประมาณจำกัด และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ COP30 จึงต้องจุดประกายเจตจำนงทางการเมืองครั้งใหม่ เพื่อปลดล็อกโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลที่การดำเนินการด้านภูมิอากาศมอบให้

ช่องว่างของ NDC

ภายในปี 2025 ทุกประเทศต้องยื่นแผนปฏิบัติการด้านภูมิอากาศแห่งชาติชุดที่สาม หรือ NDCs 3.0 ซึ่งเป็นคำมั่นที่ทะเยอทะยานที่สุด ครอบคลุมช่วงปี 2025–2035 และต้องแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่ชัดเจน พร้อมสอดคล้องกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศา

แต่ความคืบหน้ายังล่าช้า ปัจจุบันมีเพียง 69 ประเทศเศรษฐกิจหลัก คิดเป็น 61% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม ที่ยื่นแผนเรียบร้อยแล้ว ตามข้อมูลของ ClimateWatch NDC Tracker โดยจีนเพิ่งยื่นแผนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เตือนว่า จาก NDC ที่ยื่นมาทั้งหมดคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซได้เพียง 10% ในขณะที่โลกจำเป็นต้องลดลงถึง 60% เพื่อรักษาเป้าหมาย 1.5 องศา ซึ่งหมายความว่าการเกินเป้าหมายกำลังหลีกเลี่ยงไม่ได้

การประเมิน Global Stocktake ครั้งแรกในการประชุม COP28 เมื่อปี 2023 ชี้ชัดว่า นโยบายปัจจุบันกำลังนำโลกไปสู่การร้อนขึ้นถึง 3 องศา ซึ่งเกินกว่าขีดจำกัดความปลอดภัย หากไม่มีคำมั่นใหม่ที่เข้มแข็งกว่านี้ หน้าต่างแห่งโอกาสในการหลีกเลี่ยงหายนะภูมิอากาศจะปิดลงในไม่ช้า

รายงานสังเคราะห์ล่าสุดของ UNFCCC เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 วิเคราะห์ NDC จาก 64 ประเทศ และพบว่าหลายประเทศเริ่มลดการปล่อยก๊าซลง พร้อมระบุว่า การดำเนินการด้านภูมิอากาศได้กลายเป็นเสาหลักของเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ สุขภาพ พลังงาน และความมั่นคง แต่ยังจำเป็นต้องเร่งความเร็วและความลึกในการลดการปล่อยก๊าซ เพื่อให้ประโยชน์จากการดำเนินการนี้เข้าถึงทุกประเทศและทุกคนอย่างเท่าเทียม

ขณะเดียวกัน การยื่น NDC เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้งก่อน COP30 โดยในการประชุมสุดยอดภูมิอากาศที่นิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายน มีประเทศกว่า 100 ประเทศ ซึ่งปล่อยก๊าซคิดเป็นสองในสามของโลก ยื่นหรือประกาศ NDC ฉบับใหม่ โดยจีนและไนจีเรียประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซทั่วทั้งเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก ครอบคลุมทุกภาคส่วน

ธรรมชาติและภูมิอากาศ

การประชุม COP30 ที่จัดขึ้นในเมืองเบเลง ประตูสู่ป่าแอมะซอนซึ่งครอบครองพื้นที่ราว 60% ของป่าร้อนชื้นโลก  ส่งสารชัดเจนว่าธรรมชาติไม่ใช่ประเด็นรองอีกต่อไป แต่คือหัวใจของการอยู่รอดด้านภูมิอากาศ

ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในการกักเก็บคาร์บอน ควบคุมระบบน้ำและดิน และสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ โดย BCG ประเมินว่ามูลค่าของป่าทั่วโลกอยู่ที่ราว 150 ล้านล้านดอลลาร์ ทว่าในปี 2024 โลกสูญเสียพื้นที่ป่าร้อนชื้นดิบชั้นแรกกว่า 6.7 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้นถึง 80% จากปีก่อนหน้า และส่วนใหญ่เกิดจากไฟป่า

หนึ่งในโครงการสำคัญที่จะถูกผลักดันในการประชุมครั้งนี้คือ “Tropical Forest Forever Facility” ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เงินทุนระยะยาวแก่ประเทศที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าร้อนชื้น โครงการนี้อาจมีมูลค่ารวมถึง 125 พันล้านดอลลาร์ และจะจัดสรรเงินได้ถึง 4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยอย่างน้อย 20% จะส่งตรงถึงชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้ดูแลระบบนิเวศอย่างแท้จริง ถือเป็นการเปลี่ยนแนวคิดจาก “การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ” ไปสู่ “การชดเชยเพื่อการปกป้องธรรมชาติ”

นอกจากนี้ โครงการ 1t.org ยังตั้งเป้าระดมและเชื่อมโยงเครือข่ายฟื้นฟูป่าโลก เพื่อปลูกต้นไม้ให้ได้ 1 ล้านล้านต้นภายในปี 2030 สนับสนุน “ทศวรรษแห่งการฟื้นฟูระบบนิเวศของสหประชาชาติ (2021–2030)” และเร่งการแก้ปัญหาผ่านแนวทางอิงธรรมชาติ

การเงินเพื่อภูมิอากาศ

อังเดร กอร์เรีย ดู ลาโก ประธาน COP30 ระบุว่าบราซิลตั้งใจช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

การประชุม COP29 ที่อาเซอร์ไบจานได้ตั้งเป้าหมาย “Baku Finance Goal” เพื่อจัดสรรเงินอย่างน้อย 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปีให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา ภายในปี 2035 ทว่าตัวเลขนี้ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่แท้จริงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ประเทศเปราะบางต้องการเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แม้ประเทศพัฒนาแล้วจะให้คำมั่นในระดับ 300 พันล้านดอลลาร์ แต่เส้นทางสู่การระดมเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ยังไม่ชัดเจน และแม้รัฐบาลหลายประเทศยอมรับว่าการลงทุนจากภาคเอกชนต้องเป็นแรงขับหลัก แต่กลไกที่จะระดมทุนภาคเอกชนในระดับมหภาคยังขาดความเป็นรูปธรรม

รายงาน Adaptation Gap Report 2025 ของ UNEP ระบุว่า โลกจำเป็นต้องใช้เงินราว 310 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อปรับตัวกับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น คลื่นความร้อน และพายุที่รุนแรงขึ้น แต่ขณะนี้การใช้จ่ายด้านการปรับตัวมีเพียง 26 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ต่ำกว่าความจำเป็นถึง 12 เท่า

ดังนั้น COP30 จะต้องสร้าง “คำมั่นสำคัญ” ด้านเงินทุนเพื่อการปรับตัว และกำหนด “แผนปฏิบัติการจากบากูสู่เบเล็ม” เพื่อเชื่อมช่องว่างดังกล่าว ผ่านแหล่งทุนจากภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ และธนาคารพัฒนาพหุภาคี

ระบบอาหารและภาคเกษตร

ภาคเกษตรและระบบอาหารเป็นหนึ่งใน 6 แกนสำคัญของ “COP30 Action Agenda” โดยมุ่งระดมการดำเนินการด้านภูมิอากาศจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคประชาสังคม ธุรกิจ เมือง ไปจนถึงรัฐบาล

ภาคเกษตรและการใช้ที่ดินเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวหนึ่งในสามของโลก และบราซิลถือเป็นผู้นำด้านเกษตรอาหารระดับโลก

World Economic Forum ได้จัดตั้ง “First Movers Coalition for Food” ร่วมกับภาคเอกชน เกษตรกร รัฐบาล และนักวิชาการ เพื่อใช้พลังของการจัดซื้อรวมและความต้องการตลาดผลักดันการผลิตอาหารที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ

ขณะเดียวกัน บราซิลได้เปิดตัวโครงการ “Na Mesa da COP30” เพื่อให้มั่นใจว่าอย่างน้อย 30% ของอาหารที่เสิร์ฟในการประชุมมาจากเกษตรกรรายย่อยและผู้ผลิตเกษตรเชิงนิเวศ เพื่อสะท้อนความยั่งยืนตั้งแต่ในงานประชุมเอง