net-zero

ผู้นำโลกโจมตีสหรัฐฯ ปฏิเสธโลกร้อน ก่อนการประชุม COP30 ที่บราซิล

In Brief

  • ผู้นำหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศในบราซิล ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีท่าทีปฏิเสธภาวะโลกร้อนและไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม
  • ประธานาธิบดีโคลอมเบียและผู้นำชาติอื่น ๆ กล่าวโจมตีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โดยตรง โดยระบุว่าการไม่ให้ความสำคัญกับปัญหานี้ถือเป็นภัยต่อมนุษยชาติ
  • ในขณะที่การประชุมดำเนินไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กลับเลือกไปลงนามข้อตกลงสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติกับบริษัทพลังงานฟอสซิล ซึ่งสวนทางกับความพยายามแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก

ผู้นำประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศในบราซิล เมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ย 68) แสดงความผิดหวังต่อฉันทามติระดับโลกเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมโจมตีรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงปฏิเสธภาวะโลกร้อน และพยายามย้ำให้โลกมั่นใจว่าพวกเขายังเดินหน้าในภารกิจเดียวกัน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวตำหนิประเทศต่างๆ ที่ล้มเหลวในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส โดยบราซิลเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำโลกครั้งนี้ ก่อนถึงการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในเมืองเบเลง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางป่าฝนแอมะซอน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมใหญ่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ( COP30 ) ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ภาพโดย REUTERS

บริษัทจำนวนมากกำลังทำกำไรเป็นประวัติการณ์จากความเสียหายด้านสภาพภูมิอากาศ โดยใช้เงินมหาศาลในการล็อบบี้ หลอกลวงสาธารณะ และขัดขวางความก้าวหน้า ผู้นำจำนวนมากยังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกเหล่านี้ ปัจจุบันประเทศต่างๆ ใช้งบประมาณราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่ออุดหนุนพลังงานฟอสซิล

กูเตอร์เรสกล่าวว่า ผู้นำทั่วโลกมีทางเลือกที่ชัดเจนสองทาง คือ สามารถเลือกที่จะเป็นผู้นำ หรือปล่อยให้ถูกนำพาไปสู่ความหายนะ

ผู้นำจาก 4 ใน 5 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อินเดีย และรัสเซีย ไม่ได้เข้าร่วมในเวทีนี้ โดยมีเพียงประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและรองนายกรัฐมนตรีของจีนที่เดินทางมาร่วมงาน

รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกที่จะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางไปประเทศกรีซแทน เพื่อร่วมกับบริษัทพลังงานฟอสซิลรายใหญ่ Exxon Mobil ในพิธีลงนามข้อตกลงสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเล

กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบียซึ่งเพิ่งถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรเมื่อเดือนก่อนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การไม่มาร่วมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก

ทรัมป์เป็นภัยต่อมนุษยชาติ การที่เขาไม่มาที่นี่แสดงให้เห็นถึงเรื่องนั้น

ผู้นำบางประเทศยังอ้างถึงถ้อยคำของทรัมป์ที่เคยกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ “การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดของโลก”

ประธานาธิบดีชิลี กาเบรียล บอริก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาผ่านล่ามว่า “ไม่ใช่ความจริง” ขณะที่ นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ไมเคิล มาร์ติน ตั้งคำถามต่อผู้นำที่เลือกไม่มาร่วมการประชุม

ในช่วงเวลาที่ความเป็นผู้นำทางการเมืองมีความจำเป็นมากกว่าครั้งไหนๆ กลับมีผู้นำจำนวนน้อยที่มาเบเลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เถียงไม่ได้ วิทยาศาสตร์ก็ปฏิเสธไม่ได้ อุณหภูมิกำลังสูงขึ้น และเวลาของเรากำลังจะหมด หากเราไม่กล้าบอกความจริงกับประชาชนของเรา เราก็กำลังล้มเหลวต่อพวกเขาและต่อโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งที่สุด

การประชุม COP30 ถือเป็นวาระครบรอบ 30 ปีของการเจรจาระดับโลกด้านสภาพภูมิอากาศ ตลอดช่วงเวลานี้ ประเทศต่างๆ สามารถลดแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้บ้าง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดอันดับสองหรือสามในประวัติศาสตร์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยจนถึงเดือนสิงหาคมสูงกว่าอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.42 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องจากปี 2023 และ 2024 ที่ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์

นอกสถานที่จัดประชุมซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างก่อนการประชุมจะเริ่มต้นในสัปดาห์หน้า กลุ่มชนพื้นเมืองขนาดเล็กได้เดินขบวนเป็นวงกลม ร้องเพลง และเรียกร้องให้ปกป้องผืนป่าและประชาชนของพวกเขา

ขบวนเรือของผู้นำชนพื้นเมืองและนักเคลื่อนไหวที่เดินทางผ่านลุ่มน้ำอเมซอนเพื่อมาร่วมการประชุมถูกเลื่อนออกไป และจะเดินทางถึงในสัปดาห์หน้า