In Brief
รัฐบาลที่มุ่งหน้าเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ COP30 ที่ประเทศบราซิล กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจพยายามขัดขวางการเจรจาในงานดังกล่าว แม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ปรากฏตัวเลยก็ตาม
ทำเนียบขาวระบุว่า จะไม่ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมการประชุมประจำปี โดยย้ำว่าทรัมป์ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อเขาเรียกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงมีทางเลือกที่จะส่งผู้แทนเจรจาเข้าร่วมการประชุม COP30 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน ก่อนที่ประเทศจะถอนตัวออกจากความตกลงปารีสอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม
เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป 3 รายให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ส ว่า สหภาพยุโรปได้เตรียมแผนรับมือหลายสถานการณ์สำหรับ COP30 ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่สหรัฐฯ ไม่เข้าร่วมเลย เข้าร่วมและพยายามขัดขวางข้อตกลง หรือจัดกิจกรรมคู่ขนานเพื่อโจมตีนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ
การประชุม COP30 จะเป็นบททดสอบสำคัญต่อความมุ่งมั่นของผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่จะเพิ่มความพยายามในการจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ต้องเผชิญแรงต่อต้านจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนสะสมรายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
รัฐบาลหลายประเทศยิ่งรู้สึกกังวล หลังรัฐบาลทรัมป์เข้าแทรกแซงและทำให้ข้อตกลงขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ล่มลงเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเดิมจะเป็นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนในภาคการขนส่งทางเรือเป็นครั้งแรกของโลก
อันเดรียส เบเยลลันด์ เอริกเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของนอร์เวย์ กล่าวว่า หลังจากสหรัฐฯ ขู่ใช้มาตรการภาษี ค่าธรรมเนียมท่าเรือ และข้อจำกัดวีซ่า หลายประเทศได้ถอนการสนับสนุน และมาตรการดังกล่าวจึงถูกเลื่อนออกไปอีกหนึ่งปี
การที่ประเทศหนึ่งเริ่มขู่ใช้มาตรการตอบโต้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งต่อประเทศอื่นและผู้เจรจา เหมือนที่เราเห็นในกระบวนการ IMO นั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวล
เจ้าหน้าที่ยุโรปรายหนึ่งกล่าวว่า ความสำคัญอันดับต้นของพวกเขาคือการรวมกลุ่มของประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างแนวร่วม COP30 ที่เป็นเอกภาพ ต่อต้านการแทรกแซงใด ๆ จากสหรัฐฯ แต่ก็มีความกังวลว่า การขู่เก็บภาษีหรือจำกัดวีซ่าจากวอชิงตันอาจทำให้บางรัฐบาลหวาดกลัว และไม่กล้าเข้าร่วมการปกป้องกระบวนการพหุภาคีนิยมและการเจรจา COP
เจ้าหน้าที่รายนั้นกล่าว โดยอ้างถึงข้อตกลงปี 2015 ของสหประชาชาติที่มุ่งจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้
หากใช้ยุทธวิธีเดิมอีกครั้ง ผมคิดว่าจะไม่มีโอกาสเลยที่จะสามารถรวมกลุ่มกันปกป้องความตกลงปารีสได้
ในสหรัฐฯ เอง สมาชิกสภาคองเกรสบางคนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ อย่ายอมจำนนต่อแรงกดดันจากรัฐบาลทรัมป์
ขณะเดียวกันปีนี้ นักการทูตรายหนึ่งจากประเทศหมู่เกาะให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ส ว่า หลายประเทศกังวลว่าบางรัฐบาลอาจเลือกลือกนิ่งเงียบหรือจำกัดการแสดงออกของตนเอง เพราะกลัวการตอบโต้ แม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อยู่ในที่ประชุมเลยก็ตาม
ช่องว่างที่เกิดจากการไม่เข้าร่วมของสหรัฐฯ
กำลังถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน ประเทศผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยตรงต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนครองตลาดโลกในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำสำคัญหลายประเภท ตั้งแต่แผงโซลาร์เซลล์ไปจนถึงแบตเตอรี่
กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงว่า จีนยืนหยัดสนับสนุนพหุภาคีนิยมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ในเบื้องต้น สหรัฐฯ ดูเหมือนจะมีผลประโยชน์โดยตรงน้อยกว่าในการประชุม COP30 เมื่อเทียบกับกรณีของ IMO ที่การจัดเก็บภาษีคาร์บอนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการค้าทางเรือของสหรัฐฯ
แหล่งข่าว 3 รายเปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ขู่เก็บภาษีต่อประเทศที่สนับสนุนสนธิสัญญาภายใต้สหประชาชาติที่มีเป้าหมายจำกัดการผลิตพลาสติก พร้อมส่งบันทึกทางการทูตไปยังหลายประเทศเพื่อเรียกร้องให้ปฏิเสธสนธิสัญญาดังกล่าว การเจรจานี้จบลงโดยไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ
อย่างไรก็ตาม การเจรจา COP โดยทั่วไปจะเน้นการกำหนดเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศเลือกแนวทางปฏิบัติของตนเอง
การประชุม COP30 ปีนี้อาจเป็นเรื่องยากที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีอิทธิพลเหนือการเจรจาได้ เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องหารือหลากหลาย ตั้งแต่การเงินด้านสภาพภูมิอากาศไปจนถึงเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ทวีความรุนแรงขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน
ประเด็นบางอย่างของ COP30 ก็ถือเป็นความสำคัญลำดับต้นของสหรัฐฯ เช่น นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการค้า แผนการของบางประเทศที่จะเดินหน้าตามข้อตกลง COP28 เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซ อาจสร้างความซับซ้อนให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ที่ได้ทำข้อตกลงนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากสหรัฐฯ
แม้จะมีความตึงเครียด แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ส่วนใหญ่ของประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องการรักษากระบวนการ COP เอาไว้ เพราะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นและเจรจาผลประโยชน์แห่งชาติของตน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง