environment

Government Shutdown สหรัฐฯ เสี่ยงซ้ำเติมรับมือพายุ-ภัยพิบัติ

In Brief

  • ภาวะ Government Shutdown อาจส่งผลกระทบต่อความพร้อมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเตรียมการและรับมือกับพายุและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำลังก่อตัว
  • แม้หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉิน (FEMA) จะยังสามารถปฏิบัติภารกิจได้ แต่ก็เผชิญกับข้อจำกัดจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณที่ลดลงอยู่ก่อนแล้ว
  • การชัตดาวน์จะทำให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่อการวางแผนรับมือภัยพิบัติในระยะยาวต้องหยุดชะงัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน

เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ใกล้เข้าสู่ภาวะ Government Shutdown สองพายุในมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังก่อตัวขึ้น สำหรับหลายฝ่าย เรื่องนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากชุมชนต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรงในขณะที่รัฐบาลกลางหยุดปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นทั้งหมด

เส้นตายเพื่อหลีกเลี่ยงชัตดาวน์คือ เที่ยงคืนวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 11.00น.ตามเวลาประเทศไทย หน่วยงานรัฐบาลกลางจำนวนหนึ่งซึ่งทำงานด้านภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์อาจถูกทิ้งให้อยู่ในภาวะลำบาก แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ถูกปรับลดงบประมาณและทำงานอย่างจำกัดอยู่แล้วตั้งแต่ต้นปี จึงอาจไม่ต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ และข้อมูลในช่วงเข้าสู่ชัตดาวน์ คำถามก็คือ รัฐบาลกลางจะมีความพร้อมมากพอในการเตรียมการและตอบสนองต่อความเสี่ยงจากภูมิอากาศหรือไม่ 

ทั้ง เฮอร์ริเคนฮัมเบอร์โตและพายุโซนร้อนอิเมลดาไม่ได้ถูกคาดหมายว่าจะขึ้นฝั่งในสหรัฐฯ แผ่นดินใหญ่ แต่ทั้งสองมีแนวโน้มก่อให้เกิดน้ำท่วมชายฝั่ง คลื่นสูง และกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่เป็นอันตรายถึงชีวิตตามแนวชายฝั่งตะวันออกบางส่วนในสัปดาห์นี้

ข่าวดีคือ หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินแห่งสหรัฐฯ (FEMA) จะยังคงสามารถปฏิบัติภารกิจตอบสนองฉุกเฉินได้ในช่วงชัตดาวน์ เนื่องจากได้รับงบประมาณจากกองทุนบรรเทาสาธารณภัย (Disaster Relief Fund – DRF) ซึ่งจัดสรรตั้งแต่ต้นปีงบประมาณและสามารถใช้ได้จนกว่าจะหมดไป

ดังนั้นตามหลักการ FEMA จะไม่ต้องพึ่งการดำเนินงานของรัฐบาลกลางในการรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งนี้ บุคลากรส่วนใหญ่ของ FEMA ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่จำเป็น และจะยังคงพร้อมทำงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

ภายใต้สถานะงบเพื่อความจำเป็นเร่งด่วน

แต่ด้วยภาระการเกษียณอายุก่อนกำหนด การพักงานชั่วคราว (furlough) และการปรับลดกำลังบุคลากรที่เกิดขึ้นในหน่วยงานรัฐบาลตั้งแต่ต้นปี ทำให้ FEMA รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ อยู่แล้วในสภาพที่มีศักยภาพจำกัดอย่างยิ่ง

ความกังวลทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ FEMA ระหว่างชัตดาวน์ จริง ๆ แล้วก็คือสภาพที่เผชิญอยู่ภายใต้สถานะงบเพื่อความจำเป็นเร่งด่วนแบบเดียวกับที่จะเป็นหากรัฐบาลชัตดาวน์

นอกจากบุคลากรแล้ว งบประมาณของ FEMA ก็ลดลงเช่นกัน รายงานเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน คาดการณ์ว่ากองทุน DRF ของหน่วยงานจะหมดลงภายในสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงในกรณีเลวร้ายระหว่างการชัตดาวน์

การชัตดาวน์ยังส่งผลต่อหน่วยงานอื่น

ย้อนไปในปี 2019 เมื่อการชัตดาวน์ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำนวนมากต้องพักงานถึงราว 35 วัน นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การสูญเสียดังกล่าวจะส่งผลร้ายแรงต่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และทำให้ชุดข้อมูลที่ใช้ช่วยรัฐบาลกลาง รัฐ และท้องถิ่นเตรียมพร้อมต่อภัยพิบัติ รวมถึงสนับสนุนการกำหนดนโยบายด้านภูมิอากาศตกอยู่ในความเสี่ยง

การถูกตัดทอนขั้นพื้นฐานในด้านการเก็บข้อมูล หมายความว่าทุกอย่างตั้งแต่บริษัทเอกชนไปจนถึงรัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถวางแผนได้ เนื่องจากจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับประชากร ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อแข่งขันในระดับโลก ขายสินค้าในต่างประเทศ และเตรียมกำลังแรงงานกับความอยู่รอดระยะยาวของชุมชน

แม้ยังไม่เกิดการชัตดาวน์ ความล่าช้าในการเก็บข้อมูลก็ทำให้ประเทศไม่มีความพร้อมสำหรับภัยพิบัติครั้งใหญ่แล้ว การวางแผนระยะยาวคือ สิ่งที่สร้างความแตกต่าง ว่าวิกฤตเหล่านี้จะแรงและส่งผลรุนแรงมากขึ้น หรือจะบรรเทาและจัดการได้