ในที่สุด รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และสภาคองเกรสที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ก็เข้าสู่ภาวะการปิดหน่วยงานราชการบางส่วน หรือชัตดาวน์ตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันเสาร์ที่ 20 มกราคมตามเวลาไทย หลังจากวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับโครงการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ (DACA) แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการชัตดาวน์ เพราะหากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1976-2013 จะพบว่าสหรัฐฯ เคยตกอยู่ในสภาวะของการชัตดาวน์ทั้งหมด 18 ครั้งและที่คือครั้งที่ 19 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
“นักลงทุนหลายท่านอาจตั้งคำถามว่า ราคาทองคำตอบรับต่อการชัตดาวน์ในครั้งที่ผ่านๆมาอย่างไร วันนี้ YLG มีคำตอบ ซึ่งคำตอบอาจทำให้นักลงทุนทองคำผิดหวังถ้าหากคาดว่าจะได้เห็นราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการชัตดาวน์ เพราะสถิติในอดีตพบว่าราคาทองคำมักจะอ่อนตัวลงในช่วงที่เกิดการชัตดาวน์”
โดยเฉพาะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเกิดการชัตดาวน์ทั้งหมด 4 ครั้งซึ่งพบว่า 3 ใน 4 ครั้ง ราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงหากวัดจากวันก่อนที่จะเกิดการชัตดาวน์จนถึงวันสุดท้ายของการชัตดาวน์
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1990 ซึ่งเป็นวันก่อนที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ ราคาทองคำอยู่ที่ 394 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ในวันสุดท้ายของการชัตดาวน์ในวันที่ 8 ตุลาคม 1990 ราคาทองคำอยู่ที่ 393.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้แรงขายยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 16 ตุลาคม 1990 ทำให้ราคาทองคำร่วงลงมาอยู่ที่ 362.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1995 ราคาทองคำอยู่ที่ 387.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหลังจากช่วงเวลา 5 วันที่มีการชัตดาวน์ราคาทองคำก็อ่อนตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 386.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1995 กลับเป็นครั้งเดียวจากทั้งหมด 4 ครั้งของการชัตดาวน์ในรอบ 30 ปีที่ส่งผลในเชิงบวกต่อราคาทองคำ โดยวันก่อนที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯชัตดาวน์ ราคาทองคำซื้อขายอยู่ที่ 386 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ในวันสุดท้ายของการชัตดาวน์ในวันที่ 5 มกราคม 1996 ราคาทองคำอยู่ที่ 395.3 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากนั้นทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและปิดตลาดในเดือนมกราคม 1996 ที่ 406.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่าการปรับตัวขึ้นดังกล่าวของทองคำอาจเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาลที่เดือนมกราคมจะเป็นเดือนที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำจากแรงซื้อทองคำทางด้านกายภาพของชาวจีนล่วงหน้าก่อนเทศกาลตรุษจีน
ขณะที่การชัตดาวน์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2013 ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากระดับ 1,326.94 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,280.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 16 ตุลาคม 2013
จากสถิติ 30 ปีย้อนหลังจะเห็นได้ว่าราคาทองคำไม่ได้ตอบสนองในเชิงบวกต่อการชัตดาวน์มากนัก เนื่องจากนักลงทุนในตลาดมองว่าประเด็นนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งตลาดได้ซึมซับความเสี่ยงดังกล่าวไปบ้างแล้ว ประกอบกับรัฐบาลสหรัฐฯ เคยตกอยู่ในสถาน การณ์นี้หลายต่อหลายครั้ง
ขณะที่เทรดเดอร์ในตลาดกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “We’ve seen this movie before” และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะถูกชัตดาวน์ทางเทคนิค แต่หน่วยงานและโครงการใด ๆ ที่ถือว่าเป็น “บริการสำคัญ” อย่างหน่วยงานทางการทหารและไปรษณีย์จะยังคงดำเนินงานต่อไป และจะถูกพักงานเพียงแค่หน่วยงานที่ถือเป็นบริการที่ไม่สำคัญ อาทิ อุทยานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ซึ่งจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ อีกหนึ่งในเหตุผลที่นักวิเคราะห์ในตลาดไม่กังวลว่าการชัตดาวน์จะส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากมีความคาดหวังว่าประเด็นต่างๆจะได้รับการแก้ไขในที่สุด
หาก “History Repeats Itself:ประวัติศาสตร์ซํ้ารอย” ราคาทองคำอาจมีโอกาสปรับตัวลดลงมากกว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม “Past Performance Does No Guarantee of Future Results : ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต” เช่นเดียวกัน เพราะหากการชัตดาวน์ยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นอาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ นักลงทุนทองคำจึงยังคงต้องเกาะติดประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,334 วันที่ 25 - 27 มกราคม พ.ศ. 2561