ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่าจีนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 7-10% จากระดับสูงสุดภายในปี 2035 คำมั่นนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ของจีนภายใต้ความตกลงปารีส แต่เป็นครั้งแรกที่กำหนดกรอบเพดานการปล่อยที่ชัดเจน
ผู้นำจีนกล่าวผ่านวิดีโอไปยังที่ประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติที่จัดโดยเลขาธิการ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส ที่นิวยอร์ก คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการเหน็บแนมต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป้าหมายหลักที่ไม่ระบุปีฐานของระดับสูงสุดดังกล่าวยังห่างไกลมากจากสิ่งที่จำเป็นต่อการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสหรือ 1.5 องศาเซลเซียส
คำมั่นของผู้น้ำจีนยังระบุให้พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลมีสัดส่วน 30% ของพลังงานทั้งหมด ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ล่าสุด ขณะที่เป้าหมายกำลังการผลิตลมและแสงอาทิตย์ 3,600 กิกะวัตต์ (GW) บ่งชี้ถึงการชะลอตัวเมื่อเทียบกับการเติบโตที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว เป้าหมายใหม่ของจีนสำหรับปี 2035 ภายใต้กรอบการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ถูกมองว่า อ่อนแอเกินไปและไม่สะท้อนการขยายตัวอย่างรวดเร็วของพลังงานสะอาดในภาคปฏิบัติ
หลี่ ซั่ว ผู้อำนวยการ China Climate Hub แห่งสถาบันนโยบายเอเชีย (ASPI) ให้สัมภาษณ์กับ Carbon Brief ไว้น่าสนใจโดยระบุว่า คำมั่นครั้งนี้ถือเป็น การก้าวกระโดดทางจิตวิทยาครั้งใหญ่ของจีน ที่เปลี่ยนจากการกำหนดเป้าหมายเพื่อจำกัดการปล่อยไปสู่การบังคับให้ต้องลดจริง
ต่อไปนี้วิเคราะห์ความหมายของเป้าหมายใหม่ของจีนต่อการปล่อยก๊าซและการใช้พลังงาน ซึ่งยังต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อมีการเผยแพร่เอกสาร NDC อย่างเป็นทางการ
ข้อมูลที่มีเกี่ยวกับ NDC ปี 2035 ของจีนมาจากคำมั่นชุดสั้น ๆ ที่ สี จิ้นผิง กล่าวไว้ที่เวทีสหประชาชาติเท่านั้น คำปราศรัยของสี ถือเป็นครั้งแรกที่จีนให้สัญญาว่าจะกำหนดขีดจำกัดในเชิงปริมาณต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงแนวทางที่สำคัญ
ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจีนจะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2030 โดยไม่ระบุระดับ และจะบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060
นอกจากนี้ยังได้สรุปเป้าหมายสำคัญอื่น ๆ สำหรับปี 2035 ซึ่งแสดงไว้ในตารางเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน NDC ก่อนหน้านี้
จีนกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ความตกลงปารีสอย่างต่อเนื่อง โดยใน NDC ครั้งแรกเมื่อปี 2016 จีนระบุว่า จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึงจุดสูงสุด ราวปี 2030 พร้อมทั้งพยายามอย่างเต็มที่ให้ถึงจุดสูงสุดเร็วขึ้น
ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าลดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทียบกับปี 2005 ลง 60–65% กำหนดให้สัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลอยู่ที่ราว 20% และตั้งเป้าเพิ่มปริมาตรคงคลังป่าไม้ราว 4.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนกำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมและแสงอาทิตย์นั้นยังไม่ได้ถูกระบุเป็นตัวเลข
ใน NDC 2.0 ปี 2021 ได้ยกระดับเป้าหมาย โดยกำหนดให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องถึงจุดสูงสุดก่อนปี 2030 และตั้งเป้าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อนปี 2060 ขณะที่การลดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องมากกว่า 65% เมื่อเทียบกับปี 2005 สัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลเพิ่มขึ้นเป็นราว 25% ปริมาตรคงคลังป่าไม้ขยับเป็น 6 พันล้านลูกบาศก์เมตร และเริ่มระบุเป้าหมายกำลังการผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์ว่าต้องมากกว่า 1,200 กิกะวัตต์
ล่าสุด NDC 3.0 ปี 2025 ได้วางเป้าหมายระยะยาวไปถึงปี 2035 โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 7–10% ต่ำกว่าระดับสูงสุดภายในปีดังกล่าว แม้ไม่ได้ระบุเป้าหมายการลดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์อย่างชัดเจน แต่ยังคงผลักดันให้สัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลอยู่ที่ 30% พร้อมกับเพิ่มเป้าหมายปริมาตรคงคลังป่าไม้เป็น 11,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และยกระดับกำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ให้มากกว่า 3,600 กิกะวัตต์
ในคำปราศรัย สี ยังระบุด้วยว่า ภายในปี 2035 ยานยนต์พลังงานใหม่ (รถยนต์ไฟฟ้า ไฮบริดปลั๊กอิน และเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน) จะเป็นกระแสหลักของยอดขายรถใหม่ ตลาดคาร์บอนแห่งชาติของจีนจะครอบคลุมอุตสาหกรรมปล่อยสูงหลักทั้งหมดและสังคมที่ปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศจะก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นี่เป็นครั้งแรกที่เป้าหมายของจีนจะครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมดและก๊าซเรือนกระจกทุกประเภทซึ่งนักกำหนดนโยบายจีนได้ส่งสัญญาณมาเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา แถลงการณ์ร่วม China-US Sunnylands ที่ประกาศในสมัยรัฐบาลไบเดนระบุว่า NDC ปี 2035 ของทั้งสองประเทศจะครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมด รวมทุกก๊าซเรือกกระจกและสะท้อนเป้าหมายการ จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส
ต่อมาการทบทวนระดับโลกครั้งแรก (global stocktake) ที่จัดทำขึ้นที่ COP28 ดูไบ ได้สนับสนุนให้ทุกประเทศยื่นเป้าหมายลดการปล่อยที่ทะเยอทะยาน ครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมด ครอบคลุม GHG ทุกชนิด ทุกภาคส่วนและหมวดหมู่สอดคล้องกับการจำกัดความร้อนโลกที่ 1.5 องศาเซลเซียส
ปีถัดมา ติง เซี่ยเสียง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหารและผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ได้กล่าวที่ COP29 เมืองบากู ว่า คำมั่นปี 2035 ของจีนจะครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมดและทุกก๊าซเรือกกระจก แม้ไม่ได้กล่าวถึงการสอดคล้องกับ 1.5 องศาเซลเซียส
ประเด็นนี้ถูกย้ำอีกครั้งโดยสีจิ้นผิงในการประชุมด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างผู้นำโลกเมื่อเดือนเมษายน 2025
เป้าหมายการลดแบบสัมบูรณ์สำหรับก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ถือเป็นจุดเปลี่ยนในกลยุทธ์การปล่อยของจีน ที่ผ่านมา เป้าหมายของจีนมักจะเน้นที่ความเข้มคาร์บอนหรือปริมาณการปล่อยต่อหน่วย GDP ซึ่งไม่ใช่กรอบที่ควบคุมการปล่อยโดยรวมอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนจากการควบคุมคู่ด้านพลังงานไปสู่การควบคุมคู่ด้านคาร์บอนโดยนโยบายใหม่นี้แทนที่การตั้งเป้าความเข้มด้านพลังงานและการบริโภครวมของพลังงาน ด้วยการใช้ความเข้มคาร์บอนและการปล่อยคาร์บอนรวมแทน
ภายใต้นโยบายดังกล่าว ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 (ปี 2026-2030) จีนจะยังคงใช้ความเข้มคาร์บอนเป็นตัวชี้วัดหลักในการลดการปล่อย แต่หลังจากปี 2030 เพดานการปล่อยคาร์บอนแบบสัมบูรณ์จะกลายเป็นเป้าหมายหลัก
เป้าหมายลดการปล่อยแบบเชิงปริมาณจริงครั้งแรกของจีนคืออะไร
ในคำปราศรัยที่สหประชาชาติ สี จิ้นผิงให้คำมั่นล่าสุดนี้ หมายความว่า เป้าหมายนี้ครอบคลุมไม่เพียงแต่คาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงก๊าซมีเทน ไนตรัสออกไซด์ และก๊าซฟลูออริเนต ซึ่งทั้งหมดเป็นก๊าซที่มีส่วนสำคัญต่อภาวะโลกร้อน
คำว่าสุทธิทั่วทั้งเศรษฐกิจหมายถึงการปล่อยก๊าซทั้งหมดจากทุกแหล่ง หักด้วยการดูดซับ เช่น จากแหล่งธรรมชาติอย่างการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ หรือจากเทคโนโลยีการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์
ขณะสรุปเป้าหมาย สี บอกที่ประชุมว่าเป้าหมายนี้สะท้อนถึง ความพยายามสูงสุด ตามข้อกำหนดของความตกลงปารีส
การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยทั้งความพยายามอย่างหนักของจีนเอง และสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เปิดกว้างและเกื้อหนุน เรามีทั้งความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นว่าจะทำตามคำมั่นได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในสัปดาห์นี้ยังคงถูกมองว่าต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเคยให้สัมภาษณ์ Carbon Brief ว่า การลดลงอย่างน้อย 30% จากระดับปี 2023 คือขั้นต่ำสุดที่จีนควรมีส่วนช่วยในการจำกัดภาวะโลกร้อนที่ 1.5 องศาเซลเซียส โดยหลายฝ่ายย้ำว่าควรลดมากกว่านั้นเพื่อให้สอดคล้องเต็มที่กับเป้าหมายดังกล่าว
การวิเคราะห์โดยสถาบันนโยบายเอเชีย (ASPI) พบว่า จีนจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 30% จากระดับสูงสุดภายในปี 2035 เพื่อให้สอดคล้องกับเส้นทาง 1.5 องศาเซลเซียส ทั้งยังระบุว่าระดับความทะเยอทะยานนี้เป็นไปได้ เพราะจีนสร้างพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีสัญญาณว่าการปล่อยอาจถึงจุดสูงสุดแล้ว
ทำนองเดียวกัน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อนว่า หากดำเนินตามเป้าหมายรวมที่ได้จากการทบทวนสภาพภูมิอากาศโลกครั้งแรก เช่น การติดตั้งพลังงานหมุนเวียนเพิ่มสามเท่าภายในปี 2030 และสอดคล้องความพยายามระยะสั้นกับเป้าหมายระยะยาวสู่ Net Zero จะหมายถึงการลดการปล่อย 35-60% ภายในปี 2035 สำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงจีน
ตรงกันข้าม ถัง เฟ่ย รองผู้อำนวยการสถาบันพลังงาน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยชิงหัว เคยให้สัมภาษณ์ AFP ว่าเป้าหมายการลด 30% ภายในปี 2035 ถือว่า สุดโต่งและทะเยอทะยานเกินกว่าจะทำได้จริง เพราะจีนยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาปัจจุบัน
งานศึกษาทางวิชาการในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งเขียนร่วมโดยนักวิจัยจากหน่วยงานรัฐบาลจีนและมหาวิทยาลัยชั้นนำ และมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายในปักกิ่ง เสนอให้จีนให้คำมั่นลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานราว 10% เมื่อเทียบกับปี 2030 โดยประเมินว่าการปล่อยจะถึงจุดสูงสุดระหว่างปี 2028-2029
ช่วงการลดที่ค่อนข้างจำกัดที่สีจิ้นผิงประกาศ รวมทั้งการไม่กำหนดปีฐานที่ชัดเจน ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายผิดหวัง ในบันทึกการตอบสนองต่อคำมั่น หลี่ ซั่ว จากสถาบันนโยบายเอเชีย (ASPI) เเละให้สัมภาษณ์ Carbon Brief ว่าปัจจัยเบื้องหลังการตั้งเป้าที่ต่ำได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศและแนวโน้มที่ไม่แน่นอน โมเมนตัมด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกที่อ่อนแรง และสภาพภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน
นี่ก็เป็นการก้าวกระโดดทางจิตวิทยาครั้งใหญ่สำหรับจีน ที่เปลี่ยนจากการตั้งเป้าสภาพภูมิอากาศที่หมายถึงการจำกัดการเพิ่มขึ้น มาสู่การตั้งเป้าที่บังคับให้การปล่อยต้องลดลงจริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษของการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ Climate Action Tracker ระบุว่าเป้าหมายของจีนไม่น่าจะทำให้การปล่อยลดลงจริงเพราะแม้ไม่ตั้งเป้า จีนก็น่าจะบรรลุการลดระดับใกล้เคียงกันได้อยู่แล้วภายใต้นโยบายปัจจุบัน
จีนให้คำมั่นเรื่องพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิล ถ่านหิน และพลังงานหมุนเวียน
นอกจากเป้าหมายลดการปล่อยหลักแล้ว สี จิ้นผิงยังให้คำมั่นว่า จะขยายสัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลในโครงสร้างพลังงานของจีน และเดินหน้าติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์ต่อไป
นี่เป็นการต่อเนื่องจากแนวโน้มใน NDC ก่อนหน้านี้ของจีน แต่ที่น่าสังเกตคือการที่ไม่ได้เอ่ยถึงความพยายามควบคุมถ่านหินเลยในคำปราศรัยครั้งนี้
ใน NDC ฉบับที่สองซึ่งมุ่งสู่ปี 2030 จีนเคยให้คำมั่นว่าจะควบคุมอย่างเข้มงวด ต่อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ รวมทั้งจำกัดอย่างเข้มงวดการบริโภคถ่านหินระหว่างปี 2021-2025 และลดลงอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี 2026-2030 อีกทั้งยังประกาศว่าจะไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ในต่างประเทศ จึงยังไม่ชัดเจนว่า ประเด็นถ่านหินจะถูกกล่าวถึงใน NDC ฉบับเต็มปี 2035 หรือไม่
ใน NDC ปี 2030 จีนระบุว่าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลในพลังงานขั้นต้นเป็นราว 25% และสีได้อัปเดตตัวเลขนี้เป็น 30% ภายในปี 2035
ด้านพลังงานลมและแสงอาทิตย์ NDC ปี 2030 ของจีนเคยให้คำมั่นว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่า 1,200 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งนักวิเคราะห์ในเวลานั้นระบุว่า น่าจะทะลุเป้าได้ไม่ยาก และจีนก็ทำได้จริงก่อนกำหนดถึง 6 ปี โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2025 จีนมีกำลังการผลิตติดตั้งถึง 1,680 GW
เป้าใหม่สำหรับปี 2035 ที่ 3,600 GW ของกำลังการผลิตลมและแสงอาทิตย์รวม
เป้าหมายนี้มีความพยายามมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และกำลังการผลิตรวมทั่วโลกที่ราว 3,000 GW ในปี 2024 แต่ในความเป็นจริงกลับสะท้อนถึงการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา
หากดูจากกำลังการผลิตปัจจุบัน จีนจะต้องติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์ใหม่ราว 200 GW ต่อปี และรวม 2,000 GW ภายในปี 2035 เพื่อไปถึงเป้า ขณะที่ในปี 2024 เพียงปีเดียว จีนติดตั้งใหม่ 360 GW และเพียงครึ่งแรกของปีนี้ก็ติดตั้งโซลาร์ไปแล้ว 212 GW
แม้การเติบโตของความต้องการพลังงานยังเป็นตัวแปรสำคัญ แต่งานศึกษาล่าสุดโดย ไมเคิล อาร์. เดวิดสัน รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ร่วมกับเพื่อนร่วมงานจากมหาวิทยาลัยชิงหัว เสนอว่า การติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์รวม 2,910-3,800 GW ภายในปี 2035 จะสอดคล้องกับเส้นทางที่จำกัดโลกร้อน 2 องศาเซลเซียส
เราพบว่าการลดการปล่อยภาคพลังงานลง 40% ภายในปี 2035 สามารถทำได้ หากมีกำลังการผลิตลมและแสงอาทิตย์ 3,000-3,800 GW ทั้งหมดนี้ขึ้นกับแบบจำลองกำลังการผลิต การบูรณาการระบบ และคุณภาพของทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการบริโภคพลังงานหมุนเวียนในจีนยังล้าหลังเมื่อเทียบกับสถิติการติดตั้งกำลังการผลิต สาเหตุหลักคือความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานสายส่งไฟฟ้าที่ล้าหลัง และแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ยังคงผูกพันกับถ่านหิน
งานศึกษาของเดวิดสันยังระบุว่า หากมีกำลังการผลิตรวมถึง 3,800 GW จะทำให้ลมและแสงอาทิตย์คิดเป็นราว 40% ของการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2030 และ 50% ภายในปี 2035
ขณะเดียวกัน จีนจำเป็นต้องติดตั้งกำลังการผลิตลมและแสงอาทิตย์รวมราว 10,000 GW เพื่อไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060
จีนกล่าวถึงการปล่อยก๊าซที่ไม่ใช่คาร์บอนไดออกไซค์ อย่างไร
เป็นครั้งแรกที่คำมั่น NDC ของจีนมีการระบุชัดเจนว่าครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ใช่ CO2 แม้คำปราศรัยของสี จิ้นผิงจะยืนยันว่าการลดการปล่อยก๊าซปี 2035 จะครอบคลุมก๊าซเหล่านี้ ได้แก่ มีเทน ไนตรัสออกไซด์และก๊าซฟลูออริเนต แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า NDC จะตั้งเป้าลดเชิงปริมาณสำหรับก๊าซเหล่านี้หรือไม่
ใน NDC ปี 2030 จีนระบุว่าจะเพิ่มการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ใช่คาร์บอนไดออกไซค์ที่สำคัญ รวมทั้งการออกนโยบายควบคุมใหม่ แต่ก็ไม่ได้ระบุตัวเลขเป้าหมายการลดการปล่อย เพื่อเตรียมการสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบครอบคลุม จีนได้ออกแผนปฏิบัติการเฉพาะสำหรับก๊าซมีเธน, ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs ซึ่งเป็นก๊าซฟลูออริเนตประเภทหนึ่ง) และไนตรัสออกไซด์
แผนปฏิบัติการไนตรัสออกไซด์ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนนี้ กำหนดให้การปล่อยต่อหน่วยการผลิตของสารเคมีเฉพาะบางชนิดลดลงสู่ระดับแนวหน้าของโลกภายในปี 2030 แต่ก็ไม่ได้กำหนดเพดานโดยรวม
ขณะเดียวกันแผนปฏิบัติการมีเธนที่ออกในปลายปี 2023 ได้ระบุภารกิจหลักหลายประการในการลดการปล่อยในภาคพลังงาน เกษตรกรรม และของเสีย แต่ก็ไม่มีตัวเลขเป้าหมายการลดโดยรวมเช่นกัน
ทั้งนี้ กฎระเบียบใหม่ที่ออกในเดือนธันวาคม 2024 เข้มงวดขึ้นสำหรับการจัดการก๊าซของเหมืองถ่านหิน ตามรายงานของรอยเตอร์ กฎใหม่กำหนดว่า เหมืองถ่านหินใด ๆ ที่ปล่อยก๊าซที่มีปริมาณมีเธนตั้งแต่ 8% ขึ้นไป ต้องเก็บก๊าซนี้และนำไปใช้หรือทำลาย ทดแทนเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้ที่ 30%
แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าความท้าทายจริงของการปล่อยก๊าซมีเทนจากเหมืองถ่านหินอยู่ที่เหมืองร้างโดยงานวิจัยหนึ่งพบว่าการปล่อยจากเหมืองถ่านหินที่ถูกทิ้งร้างเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะแซงหน้าเหมืองที่ยังดำเนินการอยู่ กลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเธนหลักของภาคถ่านหิน
เมื่อความต้องการถ่านหินอาจเผชิญการลดลงเชิงโครงสร้าง จำนวนเหมืองร้างก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนแผนปฏิบัติการได้กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณ โดยจีนตั้งเป้าลดการผลิตไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนภายในปี 2029 ลง 10% จากฐานปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ 2 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขณะที่การบริโภค HFC จะลดลง 10% จากฐานที่ 0.9 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีของจีนภายใต้พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) และการแก้ไขเพิ่มเติม Kigali Amendment เพื่อการปกป้องชั้นโอโซน
ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป จีนจะห้ามการผลิตตู้เย็นและตู้แช่แข็งที่ใช้สารทำความเย็นไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน อย่างไรก็ดี แผนปฏิบัติการนี้ไม่ได้ครอบคลุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนของจีน ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยที่มีนัยสำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง