KEY
POINTS
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงต่อภาวะ Government Shutdown อีกครั้ง หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงผ่านร่างงบประมาณภายใน “เส้นตาย” คือ เที่ยงคืนวันอังคารที่ 30 ก.ย. หรือ “เวลา 11.00 น.ของวันพุธที่ 1 ต.ค. ตามเวลาไทย
แม้การเผชิญหน้าด้านงบประมาณจะเป็นเรื่องปกติในการเมืองสหรัฐฯ แต่การต่อสู้ครั้งนี้มีความตึงเครียดเป็นพิเศษ เนื่องจากตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ลดขนาดรัฐบาลกลางลงอย่างมาก
พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา แต่ในวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาสูง ยังขาดเสียง 60 เสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างกฎหมายใช้จ่าย
ดังนั้น พรรคเดโมแครตจึงมีอำนาจต่อรอง โดยปฏิเสธที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายของรีพับลิกันที่อ้างว่าจะทำให้ชาวอเมริกันเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ยากขึ้น และใช้โอกาสนี้ผลักดันเป้าหมายด้านนโยบายสุขภาพ
พรรคเดโมแครตเรียกร้องให้ขยายเครดิตภาษีที่ช่วยลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคนซึ่งกำลังจะหมดอายุ รวมถึงเรียกร้องให้ยกเลิกข้อเสนอการตัดงบ Medicaid ที่ทรัมป์ได้ดำเนินการ นอกจากนี้ยังคัดค้านข้อเสนอการตัดงบของศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ร่างกฎหมายชั่วคราวเคยผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่ยังไม่ผ่านวุฒิสภา
โดยสรุปการชัตดาวน์จะเกิดขึ้นหากสองพรรคไม่สามารถหาข้อตกลงเพื่อผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคมและหลังจากนั้นได้
หากไม่บรรลุข้อตกลง สหรัฐฯ จะเกิดการชัตดาวน์ครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นปลายปี 2018 ในช่วงวาระแรกของทรัมป์ ทั้งสองฝ่ายพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดซ้ำ เเละล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน การหารือระหว่างประธานาธิบดีกับพรรคเดโมแครตจบลงเเต่ไม่มีอะไรคืบหน้า
โอกาสที่จะเกิดการชัตดาวน์มากน้อยเพียงใด
BBC รายงานว่าแนวโน้มที่รัฐบาลจะชัตดาวน์มีสูง ฝ่ายรีพับลิกัน โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ยังไม่แสดงความพร้อมที่จะยอมอ่อนข้อที่มีสาระสำคัญ โดยเชื่อว่าพรรคเดโมแครตในฐานะฝ่ายที่เรียกร้องเงื่อนไขเพื่อให้รัฐบาลเปิดต่อไป จะถูกประชาชนโทษว่าเป็นต้นเหตุ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในการชัตดาวน์ก่อนหน้านี้
ในทางกลับกัน พรรคเดโมแครตเชื่อว่าการรักษาเงินอุดหนุนประกันสุขภาพเป็นนโยบายที่ได้รับความนิยม อีกทั้งผู้นำในสภาของพรรคเคยถูกนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายตำหนิที่ยอมถอยในการต่อสู้ด้านงบประมาณเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลายฝ่ายในพรรคจึงกระหายการต่อสู้ครั้งใหญ่กว่าเดิม และการจัดสรรงบประมาณถือเป็นจุดที่พวกเขายังมีอำนาจต่อรอง
สิ่งที่โดดเด่นของการเผชิญหน้าครั้งนี้คือจุดยืนของทำเนียบขาว ในอดีต การชัตดาวน์ยาวนานมักถูกมองว่าเป็นอันตรายทางการเมือง กระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนและภาพลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติและประธานาธิบดี
แต่ครั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์กลับแสดงท่าทีพร้อมที่จะปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเวลานาน แถมยังขู่จะใช้โอกาสชัตดาวน์เพื่อระบุพนักงานที่ไม่จำเป็นที่อาจถูกเลิกจ้างถาวร
ที่ผ่านมา หลังการชัตดาวน์ ส่วนใหญ่การดำเนินงานของรัฐบาลจะกลับสู่ภาวะปกติ พนักงานและงบประมาณกลับสู่ระดับเดิมเมื่อข้อพิพาทยุติ
แต่ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ตัดงบและผลักดันให้คนออกจากงานแล้ว การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจเร่งกระบวนการลดขนาดหน่วยงานขนานใหญ่
ผลกระทบจากการชัตดาวน์
หากสภาคองเกรสไม่ผ่านร่างงบประมาณ จะไม่ใช่ทุกหน่วยงานของรัฐบาลที่จะหยุดทำงาน การป้องกันชายแดน การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล การบังคับใช้กฎหมาย และการควบคุมการบิน จะยังคงดำเนินต่อไป
โดยทั่วไปในช่วงชัตดาวน์ พนักงานที่ถือว่าจำเป็นจะทำงานต่อไป บางคนไม่ได้รับค่าจ้างชั่วคราว ส่วนพนักงานที่ไม่จำเป็นจะถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ที่ผ่านมาเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย รัฐบาลมักจ่ายค่าจ้างย้อนหลัง
ล่าสุดมีรายงานว่า หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐ กำลังเตรียมแผนรับมือชัตดาวน์ โดยเน้นการพักงานชั่วคราว มากกว่าการเลิกจ้างถาวร อย่างน้อย 8 กระทรวง ระบุในแผนว่า จะมีพนักงานกว่า 400,000 คนถูกสั่งพักงานในฐานะไม่จำเป็น
นั่นหมายความว่า การบริการอย่างโครงการอาหารสงเคราะห์ โรงเรียนก่อนวัยเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุน การออกเงินกู้นักเรียน การตรวจสอบอาหาร และการดำเนินงานของอุทยานแห่งชาติ อาจถูกระงับหรือปิดทำการ นอกจากนี้ อาจมีความล่าช้าในการเดินทางหากความขัดแย้งยืดเยื้อและพนักงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างหยุดทำงาน ขณะที่การชัตดาวน์ยาวนานอาจส่งผลรองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ชัตดาวน์สหรัฐฯ เสี่ยงฉุดจีดีพี-ซ้ำเติมวิกฤตการคลัง
หากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องเผชิญภาวะชัตดาวน์จริง ผลกระทบอาจเกิดขึ้นกับการใช้จ่ายของรัฐบาลราว 27% ส่งผลให้บริการสาธารณะหยุดชะงัก และรายได้ของข้าราชการหายไปจากการถูกพักงานโดยไม่จ่ายเงินเดือน กระทบต่อการบริโภคและการผลิตในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า ทุก ๆ การชัตดาวน์ 1 สัปดาห์ จะทำให้จีดีพีรายไตรมาสที่แท้จริงลดลง 0.1%–0.3% หากยืดเยื้อเป็นเวลา 1 เดือน อาจฉุดจีดีพีรายไตรมาสหดตัว 0.5%–1.5%
ผลกระทบไม่ได้จำกัดเพียงการบริโภคของข้าราชการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่หน่วยงานรัฐต้องระงับการจ่ายเงินแก่ผู้จัดหาสินค้าและบริการ ทำให้หลายบริษัทเผชิญปัญหาสภาพคล่อง บางแห่งอาจเสี่ยงต่อการเลิกจ้าง หรือแม้กระทั่งล้มละลาย หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่ความล่าช้าในการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ จะยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการกู้ยืมใหม่ และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าภาวะชัตดาวน์เสียอีก
การชัตดาวน์เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนในสหรัฐฯ
ค่อนข้างบ่อยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มีการชัตดาวน์ 3 ครั้งในวาระแรกของทรัมป์ รวมถึงครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 34 วัน สิ้นสุดในเดือนมกราคม 2019 ซึ่งเกิดจากข้อพิพาทเรื่องงบสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก
สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่าการชัตดาวน์ครั้งนั้นลดการผลิตทางเศรษฐกิจไปราว 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึง 3 พันล้านดอลลาร์ที่ไม่สามารถกู้คืนได้
การชัตดาวน์ที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ช่วงปลายปี 1995 ถึงต้นปี 1996 รวมทั้งสิ้น 21 วัน เกิดเสียงแตกในการจัดสรรงบให้หน่วยงานประกันสุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม
สมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็เคยเกิดการชัตดาวน์เป็นเวลา 16 วัน จากประเด็นโครงการประกันสุขภาพ หรือ Obama Care
ขณะที่อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน พรรครีพับลิกันก็เคยกำกับดูแลการชัตดาวน์ถึง 8 ครั้งในช่วงทศวรรษ 1980 แม้จะเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งการชัตดาวน์ด้านงบประมาณถือว่าแทบจะพบเฉพาะในการเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น