ผลกระทบด้านสุขภาพจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังสร้างแรงสะเทือนทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งต่อธุรกิจทั่วโลก ตามรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่ล่าสุด ซึ่งระบุว่า ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำและภัยพิบัติรุนแรง บวกกับความเปราะบางด้านสุขภาพที่มีอยู่เดิม จะนำไปสู่ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่เลวร้ายยิ่งขึ้นต่อประชากร โดยจะส่งผลกระทบอย่างไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะกับผู้ที่เปราะบางหรือเสียเปรียบที่สุด
รายงาน Building Economic Resilience to the Health Impacts of Climate Change ของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม ระบุว่า หากไม่มีการปรับตัว ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ขับเคลื่อนโดยสภาพภูมิอากาศอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2050 จากการสูญเสียประสิทธิภาพการผลิตในภาคอาหารและการเกษตร สิ่งปลูกสร้าง และภาคสุขภาพและการแพทย์
งานวิจัยดังกล่าวได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงซับซ้อนระหว่างความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ สุขภาพ และผลกระทบทางเศรษฐกิจ พร้อมเสนอกรอบปฏิบัติสำหรับการดำเนินการที่ช่วยให้ธุรกิจตอบสนองได้อย่างเหมาะสม และแม้ว่าการแก้ปัญหาความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ-สุขภาพจะเป็นโจทย์เร่งด่วน แต่ก็ยังพบว่าเป็นโอกาสสำคัญสำหรับองค์กรที่ลงมือ
รายงานชี้ว่า ปัจจุบันมีการจัดสรรเงินทุนเพื่อการปรับตัวด้านสภาพภูมิอากาศน้อยกว่า 5% ที่มุ่งไปที่การคุ้มครองสุขภาพ ถือเป็น “ช่องว่างอันตราย” ที่ภาคเอกชนสามารถเข้ามามีบทบาทได้
การวิเคราะห์เน้นไปที่ภาคเศรษฐกิจที่เผชิญความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของแรงงานจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสุขภาพในช่วงปี 2025–2050 ได้แก่ อาหารและการเกษตร สิ่งปลูกสร้าง และสุขภาพและการแพทย์ พร้อมประเมินต้นทุนเศรษฐกิจต่อธุรกิจ ดังนี้
อาหารและการเกษตร สูญเสียแรงงานคิดเป็นมูลค่า 7.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2025–2050
สิ่งปลูกสร้าง สูญเสียไม่น้อยกว่า 5.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงงานในช่วงเวลาเดียวกัน
สุขภาพและการแพทย์ สูญเสียผลผลิตอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศในแรงงาน และต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลเพิ่มเติม 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2050
ต้นทุนทางเศรษฐกิจเหล่านี้ถูกผลักดันโดยผลลัพธ์ทางสุขภาพที่เลวร้ายลงจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้น การแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและน้ำ รวมถึงโรคติดต่อจากพาหะ เช่น มาลาเรีย อัตราการขาดสารอาหารที่สูงขึ้น ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อ เช่น หอบหืด เบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลลัพธ์ทางสุขภาพเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
แล้วธุรกิจควรตอบสนองอย่างไร รายงานได้เสนอชุดมาตรการซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกภาคเศรษฐกิจ ไม่จำกัดเฉพาะที่ถูกวิเคราะห์ไว้ โดยแนะนำว่า
ขยายสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพของพนักงานให้ครอบคลุมโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างแรงงานที่สุขภาพดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จัดมาตรการอาชีวอนามัย เช่น โซลูชันการทำความเย็น หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
ดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและติดตามความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
ลงทุนในงานวิจัยสภาพภูมิอากาศ-สุขภาพ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่ระบุสาเหตุรากของโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ
ปกป้องระบบสำคัญ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและเชิงนิเวศ
จัดทำแผนการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ
ให้ความรู้แก่แรงงานและชุมชนเกี่ยวกับอันตรายต่อสุขภาพที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ
ขยายการผลิตและบริการที่ปกป้องสุขภาพ ลดภาระระยะยาวตลอดห่วงโซ่มูลค่า
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าหรือบริการที่ปกป้องสุขภาพของผู้คน จะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมกับช่วยยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพของลูกค้าและชุมชน ตัวอย่างเช่น อาคารที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ ระบบติดตามสภาพภูมิอากาศด้วยปัญญาประดิษฐ์ และอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง