In Brief
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (AU) ได้ประกาศก้าวสำคัญที่เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่อนาคต โดยการจับมือกับสองมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกจากจีนอย่าง Tsinghua Shenzhen International Graduate School และ Peking University
เพื่อร่วมกันสร้าง “มหาวิทยาลัยดิจิทัลสีเขียว” ซึ่งเป็นโมเดลการศึกษาที่ผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ภราดา ดร. ศิริชัย ฟอนซีกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์นี้ว่าเป็นความตั้งใจที่จะยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นแหล่งบ่มเพาะบัณฑิตที่มีคุณธรรม มีความคิดสร้างสรรค์ และพร้อมเผชิญความท้าทายในเวทีโลก
ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชิงหวาจะเน้นไปที่การพัฒนาหลักสูตรร่วมและการวิจัยเชิงลึกในสาขาแห่งอนาคต เช่น โลจิสติกส์อัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการแลกเปลี่ยนคณาจารย์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่และยกระดับศักยภาพนักวิจัยให้ทัดเทียมระดับโลก
อีกหนึ่งความร่วมมือที่โดดเด่นคือการจับมือกับ Peking University ภายใต้โครงการ “Arts and Technology Development Project” ณ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก UNESCO Chair โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีและศิลปะมาใช้เพื่อพัฒนาชุมชนชนบทอย่างยั่งยืน
โครงการนี้จะเน้นกิจกรรมที่เชื่อมโยงงานวิจัยเข้ากับชุมชนจริง เช่น การสร้างหมู่บ้านตัวอย่าง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่น ทำให้งานวิจัยไม่เพียงแต่เป็นองค์ความรู้ในตำรา แต่สามารถนำไปแก้ไขปัญหาและสร้างคุณค่าให้แก่สังคมได้จริง
ภราดา ดร. ศิริชัย ยังได้เน้นย้ำว่า การศึกษาในยุคนี้ต้องไม่หยุดอยู่แค่ในห้องเรียน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างผู้เรียนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งด้านวิชาการ การปฏิบัติ และการรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (Incubation Center) เพื่อเป็นพื้นที่ให้นักศึกษาได้นำความฝันและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาเป็นสตาร์ทอัป โดยมีคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนนักศึกษาที่ต้องการผลักดันผลงานศิลปะและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ตลาดโลกด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี การตลาดดิจิทัล และความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ในท้ายที่สุด ภราดา ดร. ศิริชัย ได้ฝากข้อคิดที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยทุกคนว่า “ไม่ต้องกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสซ่อนอยู่” และยังได้ย้ำเตือนด้วยคติพจน์ของมหาวิทยาลัยที่ว่า
“Labo Omnia Vincit: วิริยะอุตสาหะย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ”
เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญพร้อมที่จะเป็นผู้นำทางให้เยาวชนก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตได้อย่างมั่นคง
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568 ในทุกระดับการศึกษา ทั้งปริญญาตรี โท และเอก ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นบริหารธุรกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือศิลปกรรม ที่วิทยาเขตสุวรรณภูมิและวิทยาเขตหัวหมาก เพื่อสร้างบัณฑิตที่พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีสากลอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง