In Brief
ปี 2015 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อที่ 12.3 (Sustainable Development Goal 12.3: SDG 12.3) ซึ่งเรียกร้องให้ลดการสูญเสียและขยะอาหารลง 50% ภายในปี 2030 นับตั้งแต่นั้นมา ภาคธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย แหล่งทุน นักวิจัย และภาคส่วนอื่น ๆ ทั่วโลก ได้ระดมทรัพยากรเพื่อผลักดันความก้าวหน้าที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว แต่คำถามคือ มีความคืบหน้าเกิดขึ้นแล้วมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ความคืบหน้าเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้แผนระดับโลกในการจัดการปัญหาขยะอาหารยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่รายงานและการวิเคราะห์หลายฉบับชี้ให้เห็นถึงขั้นตอนการดำเนินงานสำคัญบางประการที่ประเทศผู้นำในประเด็นนี้ได้นำมาใช้ การวัดและจัดเก็บข้อมูล ความร่วมมือ และนโยบาย เป็นกลไกหลักที่สร้างผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญต่อการลดขยะอาหาร และในช่วงที่ประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุม COP29 ที่อาเซอร์ไบจาน เราได้สำรวจทั้งสามด้านนี้ โดยเน้นตัวอย่างการดำเนินงานของสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตต่อการบรรลุ SDGs 12.3
การเก็บรวบรวม วิเคราะห์ และรายงานข้อมูล เป็นหัวใจสำคัญของการลดขยะอาหาร แม้ว่าบางประเทศจะมีการกำหนดข้อมูลฐาน (baseline metrics) แล้ว แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีข้อมูลเข้มแข็งเพียงพอสำหรับการสรุปผลการลดขยะอาหารได้อย่างแม่นยำ
ตามรายงาน Food Waste Index Report 2024 ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme) มีเพียงออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ที่จัดทำข้อมูลฐานแล้ว โดยบราซิลกำลังอยู่ในขั้นตอนใกล้เคียงที่จะจัดทำข้อมูลของตนเอง
สหราชอาณาจักร ซึ่งหลายการประเมินมองว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการแก้ปัญหาขยะอาหาร การวัดข้อมูลอย่างครอบคลุมได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ระหว่างปี 2007 ถึง 2018 สหราชอาณาจักรสามารถลดขยะอาหารที่ยังบริโภคได้ลง 27% และลดขยะอาหารจากครัวเรือนลง 31%
ญี่ปุ่น กระทรวงสิ่งแวดล้อมรายงานว่า การสูญเสียและขยะอาหารที่ยังบริโภคได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลในปี 2012 โดยลดลง 18.5% ภายในระยะเวลา 9 ปี
สหรัฐอเมริกา องค์กร ReFED ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลขยะอาหารระดับชาติมาเป็นเวลาหลายปี โดยประมาณการล่าสุดระบุว่า ปริมาณอาหารส่วนเกินเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% จากปี 2022 ถึงปี 2023 งานส่วนหนึ่งของ ReFED คือการสร้างแบบจำลองแนวทางแก้ไขปัญหาขยะอาหารภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การป้องกัน การกู้คืนอาหาร และการรีไซเคิล แม้ว่าการป้องกันจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด แต่หากนำทุกแนวทางในแบบจำลองมาใช้ จะสามารถลดขยะอาหารลงได้ 27%
แม้การเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ข้อมูลฐานระดับชาติที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชุดก็ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการลดขยะอาหารในระดับโลก
ความร่วมมือสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ซึ่งความหลากหลายนี้เองเป็นประโยชน์ต่อการสร้างผลลัพธ์ ภายใต้พันธสัญญาหรือข้อตกลงต่าง ๆ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ภาคธุรกิจ หรือหน่วยงานรัฐ จะร่วมกันใช้ทรัพยากรและความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดขยะอาหาร ในหลายประเทศมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงข้อตกลงโดยสมัครใจ ที่ดำเนินงานในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ภายใต้กรอบ “กำหนดเป้าหมาย วัดผล และลงมือทำ” (Target, Measure, Act)
แอฟริกาใต้ โครงการ South African Food Loss and Waste Initiative ซึ่งเป็นข้อตกลงโดยสมัครใจ ได้เชิญชวนผู้มีบทบาทในระบบอาหารให้ร่วมลดขยะอาหาร โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐหลายแห่งในการเก็บข้อมูล เบี่ยงเบนอาหารจากหลุมฝังกลบ และวิจัยแนวทางแก้ไข
เม็กซิโก ข้อตกลงโดยสมัครใจ Pacto por la Comida ได้รวบรวมภาคธุรกิจ หน่วยงานรัฐ นักวิชาการ องค์กรไม่แสวงหากำไร และผู้บริโภค เพื่อผลักดันการนำลำดับชั้นการกู้คืนอาหารที่ยั่งยืนมาใช้ ลดขยะอาหาร และแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร
ออสเตรเลีย องค์กรกว่า 100 แห่งเป็นพันธมิตรกับ Australian Food PACT และผู้ลงนามในข้อตกลง เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านขยะอาหารและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2023 คาดว่าความพยายามเหล่านี้จะช่วยลดขยะอาหารลง 28% ภายในปี 2033
สหรัฐอเมริกา โครงการ Pacific Coast Food Waste Commitment (PCFWC) ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับภูมิภาคฝั่งตะวันตก ทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและธุรกิจอาหารในภูมิภาค เพื่อทดลองโครงการแทรกแซง รายงานและวัดผลข้อมูล และรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสภาพแวดล้อมที่ไม่เน้นการแข่งขัน โดยจนถึงปี 2022 ผู้ค้าปลีกที่เข้าร่วม PCFWC รายงานว่าปริมาณอาหารที่ขายไม่ออกลดลง 25% โครงการนี้ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาคจนขยายไปสู่ข้อตกลงโดยสมัครใจระดับชาติ คือ U.S. Food Waste Pact
รายชื่อข้อตกลงโดยสมัครใจเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด และเมื่อการลดขยะอาหารเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในฐานะมาตรการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางอาหาร และแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทาน คาดว่าจะมีความร่วมมือในลักษณะนี้เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอีก
นโยบายภาครัฐทั่วโลก
มีบทบาทต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของโครงการลดขยะอาหารหลายโครงการ ประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ ใช้กลไกทางกฎหมายที่หลากหลาย ตั้งแต่ภาษี ค่าปรับ ไปจนถึงข้อบังคับ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และผลักดันการลดขยะอาหารผ่านกฎหมายที่มีความหมาย
จีน กฎหมายต่อต้านการสูญเสียอาหาร ปี 2021 กำหนดให้ทุกภาคส่วนต้องตั้งเป้าหมายการลดขยะอาหาร เก็บและวัดข้อมูล ดำเนินมาตรการลดขยะอาหาร และรายงานความคืบหน้าเป็นประจำทุกปี กฎหมายฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน
เกาหลีใต้ ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าธรรมเนียมขยะอาหารในอัตราเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2005 งานวิจัยล่าสุดพบว่ามาตรการนี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้ขยะอาหารลดลง 20% ต่อปี
ฝรั่งเศส กฎหมายปี 2016 ห้ามผู้ค้าปลีกทำลายสินค้าอาหารที่ขายไม่ออก โดยกำหนดให้ร้านค้าขนาดใหญ่ต้องเบี่ยงเบนอาหารส่วนเกินไปยังองค์กรกู้คืนอาหารแทนการนำไปฝังกลบ
สหรัฐอเมริกา กฎหมายรีไซเคิล SB1383 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถเบี่ยงเบนอาหารที่ขายไม่ออกซึ่งเทียบเท่ามื้ออาหาร 242 ล้านมื้อ ไปยังองค์กรกู้คืนอาหารนับตั้งแต่เริ่มบังคับใช้ในปี 2022 และรัฐแมสซาชูเซตส์ รวมถึงรัฐอื่น ๆ ก็ประสบความสำเร็จในลักษณะเดียวกัน
กลยุทธ์ระดับชาติที่เกิดขึ้นในช่วงหลังในแอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา บราซิล และชิลี ซึ่งอยู่ในระยะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน สะท้อนว่านโยบายระดับโลกจะยังคงขยายตัวต่อไป และตอกย้ำว่านโยบายเป็นกลไกที่ประเทศต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญ
แล้วความก้าวหน้าเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ คำตอบสั้น ๆ คือ “เกิดขึ้นแล้ว” แต่แม้จะมีความคืบหน้าในบางพื้นที่ งานที่ต้องทำยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อปี 2030 ใกล้เข้ามา เส้นตายของการบรรลุ SDG 12.3 ก็ใกล้ตามมาเช่นกัน การขยายการวัดข้อมูล การสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งขึ้น การสร้างความตระหนักรู้ และการผลักดันนโยบายที่มีความหมาย จะช่วยเร่งความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และอาจก้าวข้ามไปได้ไกลกว่านั้น
ขณะเดียวกัน ยังเริ่มเห็นการนำโซลูชันเชิงนวัตกรรมมาใช้ในวงกว้าง เช่น ระบบติดตามขยะ การวางแผนอุปสงค์ที่แม่นยำขึ้น ระบบทำความเย็นในแปลงเกษตร และแอปพลิเคชันแจ้งเตือนการลดราคา ซึ่งยิ่งโซลูชันเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากเท่าใด ก็ยิ่งคาดหวังความก้าวหน้าได้มากขึ้น การเดินหน้าและเร่งรัดความพยายามเหล่านี้ต่อไป คือโอกาสที่ดีที่สุดในการทำตามพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้
บริบทประเทศไทยขยะอาหารยังสูง ข้อมูลยังไม่ครบ ระบบยังไม่เชื่อม
ข้อมูลจากสถาบันสิ่งเเวดล้อมไทยเเละกรมควบคุมมลพิษ ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังเผชิญปัญหาขยะอาหารในระดับสูง ปี 2567 พบว่ามีขยะอาหารมากกว่า 10.1 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ย 154 กิโลกรัมต่อคนต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 36.79% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณมูลฝอยทั้งประเทศ
ในจำนวนนี้ ขยะอาหารประมาณ 40% ยังอยู่ในสภาพที่สามารถรับประทานได้ ขณะที่อีก 60% เป็นอาหารที่ไม่สามารถบริโภคได้แล้ว สะท้อนทั้งปัญหาการบริโภคเกินจำเป็น และข้อจำกัดของระบบจัดการตั้งแต่ต้นทาง
ข้อมูลระบุว่า แหล่งกำเนิดขยะอาหารสำคัญของประเทศไทยกระจุกตัวอยู่ในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายและการบริโภคอาหารโดยตรง ได้แก่
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า ปัญหาขยะอาหารไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะครัวเรือน แต่กระจายอยู่ตลอดห่วงโซ่การบริโภคและการให้บริการ
แม้ประเทศไทยจะเริ่มขับเคลื่อนนโยบายด้านขยะอาหาร แต่ยังพบข้อจำกัดเชิงโครงสร้างหลายประการ ได้แก่
เส้นทางสู่ Zero Food Waste ของประเทศไทย
ประเทศไทยได้จัดทำ โรดแม็พการจัดการขยะอาหาร พ.ศ.2566–2573 ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 12.3 ด้านการผลิตและการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ โดยแบ่งการขับเคลื่อนออกเป็น 2 ระยะหลัก
ระยะที่ 1 (พ.ศ.2566–2570)
ระยะที่ 2 (พ.ศ.2571–2573)
โดยมีมาตรการสำคัญในแต่ละช่วงปี ได้แก่
อ้างอิงข้อมูล : refed.org
ข่าวที่เกี่ยวข้อง