จากสถานการณ์ประชากรช้างป่าที่ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจากปัญหาการถูกล่าและผืนป่าซึ่งเป็นถิ่นอาศัยถูกทำลายลง ช้างเลี้ยงจำนวนมากต้องประสบปัญหาตกงานกลายเป็นช้างเร่ร่อนและช้างขอทานในเมืองใหญ่ หรือถูกใช้งานลักลอบลากไม้ผิดกฎหมาย
ด้วยทรงห่วงใยถึงวิถีชีวิตที่ผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า อันเป็นเหตุแห่งการสูญพันธุ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงจึงทรงพระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาช้างไทย โดยเฉพาะปัญหาช้างลักลอบลากไม้ผิดกฎหมายและปัญหาช้างเร่ร่อน
"โครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติ"ในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 เพื่อสนองพระราชปณิธานในการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายากและใกล้สูญพันธุ์ของโลก
รวมทั้งเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ช้างเลี้ยงและช่วยฟื้นฟูประชากรช้างไทยภายใต้แนวความคิด “ช้างเลี้ยงก็คือช้างป่า” เพราะช้างเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปคัดเลือกและปรับปรุงสายพันธุ์ได้เหมือนสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ
“ข้าพเจ้าอยากจะเล่าโครงการปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติ
ข้าพเจ้าพูดเล่นเท่านั้นเอง พูดเล่นกับพวกที่อยู่ข้างเคียง
บอกว่าไปไหนพระเจ้าอยู่หัวทรงล้อว่า มีแต่ปล่อยไก่เท่านั้นเอง
พระราชินีปล่อยไก่ที่โน่น…ปล่อยไก่ที่นี่
เลยบอกแหม…ถ้าได้ปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติบ้างก็ดี
แล้วทุกคนเลยช่วยกันจัดให้ข้าพเจ้าได้ปล่อยช้าง
ได้ทราบว่าเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศมาก
ในการปล่อยช้างเป็นอิสระ
ปีพ.ศ. 2540 ปล่อย 3 เชือก
ปีพ.ศ. 2541 ปล่อย 2 เชือก
ปีพ.ศ. 2542 ปล่อย 2 เชือก
แล้วดูได้ผลดี รู้สึกเขาสดชื่น ดูปรับตัวเข้ากับป่าได้เป็นอย่างดี…”
กระแสพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2542
พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง สะท้อนให้เห็นถึงพระราชปณิธาน ในการอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติทั้งช้างป่าและช้างบ้าน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามิได้ทรงละเลยพระราชภารกิจที่ได้ทรงกระทำไว้ ในปีพ.ศ.2543 ทรงรับสั่งถึงความเป็นอยู่ของช้างและมีพระราชประสงค์ที่จะเห็นช้างปล่อยคืนสู่ป่าสามารถสืบพันธุ์และตกลูกตามธรรมชาติ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิขึ้น โดยมุ่งหมายให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่สนับสนุนและดูแลโครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติต่อไปในระยะยาว และได้พระราชทานชื่อว่า “มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2545
โดยใช้ตราสัญลักษณ์เป็นรูปช้างในป่าต้นโพธิ์ รูปแบบลายรดน้ำสีฟ้า ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสีเขียวซึ่งแทนสีป่าธรรมชาติ และทรงพระราชทานพระนามาภิไธยย่อ “สก” ไขว้ไว้ใต้พระมหามงกุฎ อัญเชิญสถิตไว้เบื้องบน
อันมีความหมายว่า "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นเสมือนร่มโพธิ์แห่งการอนุรักษ์ช้างไทย พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในการคืนชีวิตช้างสู่ธรรมชาติ เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ป่าไม้ที่เสื่อมโทรมให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนดังเดิม”
การนำช้างเลี้ยงกลับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูประชากรช้างป่าเป็นแนวทางในการช่วยป้องกันไม่ให้ช้างสูญพันธุ์ไปจากป่า
ในเวลาเดียวกันยังช่วยแก้ปัญหาช้างเลี้ยงที่ไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่รัฐบาลเข้มงวดกับการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า โดยมีการยกเลิกสัมปทานป่าไม้ในปี 2533-2534 และได้ประกาศให้งานชักลากไม้ในป่าเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ทำให้ช้างลากไม้ทั้งหมดกลายเป็นช้างที่ทำงานผิดกฎหมายนับแต่นั้นเป็นต้นมา
การดำเนินโครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF International) ซึ่งมีเจ้าฟ้าชายฟิลลิปส์ ดยุคแห่งเอดินเบอระ พระราชสวามีในสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษเป็นองค์ประธาน
โดยพระองค์ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการจัดตั้งมูลนิธิและใช้ในการดำเนินโครงการ อีกทั้งยังได้รับความสนใจและความร่วมมือจากนานาชาติและบุคคลสำคัญในระดับชาติอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดอีกด้วย
ปัจจุบันพื้นที่ดำเนินโครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติ ประกอบไปด้วย
กิจกรรมการปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเสด็จทำพิธีปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติรวม 4 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
ครั้งที่ 2 ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
ครั้งที่ 3 ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ยาว (เป็นบริเวณรอยต่อของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง และพื้นที่สวนป่า ออป.)
ครั้งที่ 4 ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ยาว (เป็นบริเวณรอยต่อของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง และพื้นที่สวนป่า ออป.)
และเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและเดนมาร์ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงนำพระราชอาคันตุกะ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ มาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก เจ้าฟ้าชายเฮนริก พระราชสวามี และเจ้าฟ้าชายเฟรเดอริค มกุฏราชกุมาร ทรงปล่อยช้างเพศเมียจำนวน 1 เชือกชื่อ “พังบุญรอด” ให้กลับเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2544
ปัจจุบันมูลนิธิฯ ดำเนินโครงการใน 3 พื้นที่ได้แก่
ในปี 2567 มูลนิธิฯ มีแนวคิดจัดทำอุทยานในลักษณะการปลูกต้นไม้ 3 ชนิดประโยชน์ 4 อย่าง เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงถึงพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเล็งเห็นความสำคัญของน้ำ ป่าไม้ รวมถึงพระมหากรุณาธิคุณที่่่ทรงมีต่อช้างไทยและสัตว์ป่าอื่นมาโดยตลอด
โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จังหวัดลพบุรี ว่า “อุทยานภูมิสิริกุญชร” นอกเหนือจากการปลูกป่าด้วยพรรณไม้นานาชนิด มูลนิธิฯ มีแนวคิดจัดทำช้างปูนปั้นขนาดเท่าของจริงตั้งตามจุดต่างๆ ในพื้นที่ของอุทยานเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ แทนช้างจริงที่ปล่อยคืนสู่ป่าไปแล้ว
ที่มาข้อมูล-ภาพ