สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย

25 ต.ค. 2568 | 03:39 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ต.ค. 2568 | 05:17 น.

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย ทรงให้ความสำคัญและทุ่มเทพระวรกายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ผ้าไทย อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริม ตลอดจนเพื่อธำรงรักษาและฟื้นฟูศิลปหัตถกรรม อันเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญที่ปัจจุบันผลิดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรม

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญและทุ่มเทพระวรกายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งยังทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ผ้าไทยด้วยพระองค์เอง เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริม ตลอดจนเพื่อธำรงรักษาและฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมแบบไทยโบราณที่กำลังจะเสื่อมสูญไปตามกาลเวลาให้กลับมาแพร่หลาย นับเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญที่ปัจจุบันผลิดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนสมดั่งพระราชปณิธานในทุกมิติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ห่างไกลในชนบทซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้น้อยและประสบปัญหาความยากจน

จึงทรงตระหนักและทรงให้ความสำคัญในการสร้างอาชีพเสริม เพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแก่พสกนิกร สนับสนุนอาชีพทางด้านหัตถกรรมไหมลวดลายต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี  2513 

เมื่อพระองค์ได้โดยเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปทรงเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม อ. นาหว้า จ. นครพนม ทอดพระเนตรหญิงชาวบ้านที่มารอรับเสด็จนุ่งซิ่นผ้าไหมมัดหมี่ที่มีความสวยงาม ทรงสนพระราชหฤทัยยิ่งและไต่ถามจนได้ความว่าชาวบ้านทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้ใช้เองทุกครัวเรือน 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย

คนไทยส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ทางภาคอีสานนั้นมีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ในขณะเดียวกันการทอผ้าก็เป็นภูมิปัญญาและสิ่งที่ชาวบ้านคุ้นเคย แต่ละพื้นถิ่นพื้นจะมีลวดลายและความงามของการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ขาดเพียงผู้สนับสนุน ส่งเสริม และเปิดโอกาสให้ช่างทอผ้าชาวบ้านเหล่านั้นได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

พระพันปีหลวงจึงมีพระราชดำริว่าควรส่งเสริมให้ราษฎรทอผ้าไหมมัดหมี่เป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง และมีพระราชเสาวนีย์ให้ชาวบ้านทอผ้าส่งถวาย พระองค์จะทรงรับซื้อ ทำให้เกิดการฟื้นฟูและส่งเสริมหัตถกรรมทอผ้า นอกเหนือจากอาชีพเกษตรกรรม

พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

จนเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางและเป็นที่มาของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมไทยในทุกโอกาส เพื่อทรงเป็นแบบอย่าง เนื่องด้วยมีพระราชนิยมเรื่องการใช้ผ้าไทยมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และทรงงานด้านหม่อนไหมด้วยพระวิริยอุตสาหะมาโดยตลอด 

ทรงมีพระราชดำริว่า สมควรจะมีหน่วยงานหลักที่จะรับผิดชอบ ดูแลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม รักษาพันธุ์ไหมพื้นเมืองซึ่งมีเอกลักษณ์ของไทย การย้อมสีธรรมชาติ ตลอดจนสนับสนุนการทอผ้าไหมไว้อย่างครบวงจร ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ได้มีอาชีพที่ยั่งยืน มีรายได้พึ่งพาตนเองได้

พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักรับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยของพระองค์ที่ทรงมีต่อพสกนิกร และบังเกิดเป็นความภาคภูมิใจในเกียรติภูมิความเป็นไทยจนเป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและนานาอารยประเทศ

นอกจากนี้ พระพันปีหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปี 2519 เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศให้มีรายได้เสริมจากงานหัตถกรรมทอผ้าและหัตถกรรมประเภทอื่น ๆ ในระยะยาว นับเป็นการเปิดกว้างให้ชาวบ้านได้แสดงความสามารถในการสร้างสรรค์งานฝีมือ สร้างรายได้และพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งยั่งยืน 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย

มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ยังได้วางรากฐานสำคัญในการต่อยอดผ้าไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการแนะนำชาวบ้านให้ปรับการทอให้มีขนาดที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น ให้ความรู้เรื่องเทคนิคการทอผ้าใหม่ ๆ ลองทำการทดลองที่อาจนำไปสู่การสร้างลวดลายที่แตกต่างไปจากเดิมได้ 

รวมถึงยังมีการลงพื้นที่เพื่อรวบรวมและเก็บตัวอย่างลายผ้าทอในแต่ละท้องถิ่นทุกชิ้นอย่างเห็นคุณค่า การที่พระพันปีหลวงทรงมีพระราชดำริที่ครบวงจรนี้ นับเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวงต่อราษฎร ดังพระราชดำริที่ว่า “ขาดทุนของข้าพเจ้า คือกำไรของชาติ”

นอกจากการสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิต หนึ่งในพระราชปณิธานที่สำคัญของพระพันปีหลวง คือการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าของผ้าไทย ซึ่งเป็นสมบัติคู่ชาติมาอย่างยาวนานนับหลายร้อยปี เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ รักษา สืบสาน และต่อยอดมรดกทางภูมิปัญญา ให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยและก้าวไกลไปสู่ระดับสากล

จนกระทั่งในปี 2545 คณะกรรมาธิการหม่อนไหมระหว่างประเทศ (International Sericultural Commission: ISC) ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลหลุยส์ปาสเตอร์ (Louis Pasteur Awards) แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ที่ศึกษาพัฒนาและทำคุณประโยชน์ยิ่งต่อวงการหม่อนไหมไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมกับจัดงานกาลาดินเนอร์ถวาย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ต่อมาในปี 2550 ได้พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทยให้เป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย 4 ชนิด ได้แก่ ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) สีเงิน (Classic Thai Silk) สีน้ำเงิน (Thai Silk) และสีเขียว (Thai Silk Blend)

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย

ขณะนี้ได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในต่างประเทศไปแล้วรวม 35  ประเทศ เพื่อเป็นการสนองพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และการทอผ้าไหมไทย ให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และช่วยให้ราษฎรมีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ 

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้รวมหน่วยงานที่มีภารกิจด้านหม่อนไหมจากกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร ให้เป็นหน่วยงานเดียวกัน และขอพระราชทานชื่อว่า "สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" (สมมช.) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548  เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและบริหารจัดการด้านหม่อนไหมให้เป็นไปอย่างครบวงจร

ต่อมาเพื่อให้งานหม่อนไหมของชาติมีความเป็นเอกภาพ ขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหม่อนไหมอย่างเป็นระบบครบวงจรยิ่งขึ้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้สนองพระราชดำริจัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับกรม เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552  เป็นกรมหม่อนไหม ที่ตั้งขึ้นโดยพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีต่อเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของประเทศไทย และพระเกียรติคุณอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการหม่อนไหมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้

พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ทั้งยังทรง มีพระราชดำริให้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าไทย และประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายของคนไทย ต่อมา ใน 2546 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้อาคารหอรัษฎากรพิพัฒน์เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 โดยมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมจัดเก็บรักษาผ้าไทย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดแสดงงานหัตถศิลป์จากผ้าอันทรงคุณค่าของราชสำนัก และผ้าพื้นเมืองต่างๆ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในการอนุรักษ์การทอผ้าของไทยให้คงอยู่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติสืบไป

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชชนนีพันปีหลวง พระมารดาแห่งไหมไทย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมทั้งพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงพร้อมใจกันถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในฐานะ "พระมารดาแห่งไหมไทย" ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555

อีกทั้งประเทศไทยกำลัง ยื่นเสนอ "ชุดไทยพระราชนิยม" เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2569 นี้ ยิ่งทำให้ "ผ้าไทย” จากมรดกทางวัฒนธรรม สู่ Soft Power ระดับสากลอีกด้วย