KEY
POINTS
การบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 โดยมีผลเรียกเก็บภาษีจริงในปี2563 เพื่อเพิ่มรายได้ท้องถิ่นและกระจายอำนาจทางการคลัง แต่กลับเป็นจังหวะเดียวที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างส่งผล ให้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนั้นประกาศลดอัตราการเรียกเก็บภาษีลง
เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชนรวมถึงบรรเทาผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกทุบกำลังซื้อลงอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะการถูกปิดกั้นการเดินทางจากต่างชาติซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักท่ามกลางกำลังซื้อในประเทศเปราะบาง และนำมาซึ่งบาดแผลลึกฉุดเศรษฐกิจประเทศและตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันแม้ที่ผ่านมาภาคเอกชนจะเสนอทุกรัฐบาลผ่อนปรนการบังคับใช้ภาษีหรือขอลดภาระภาษีดังกล่าวมาโดยตลอดเพื่อลดผลกระทบภาระค่าใช้จ่ายแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะติดปัญหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)อาจขาดรายได้
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงวิกฤต มองว่าน่าจะมีนัยสำคัญในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูลที่คาดว่าจะพิจารณาลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงชั่วคราว เพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เดินต่อได้ รวมถึงช่วยผ่อนคลายค่าครองชีพประชาชนลงเหมือนช่วงสถานการณ์โควิด
ชงลดภาษีที่ดิน50%
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ มีข้อเสนอถึงรัฐบาล นายอุทิน ชาญวีรกูล เพื่อ ปรับลดหย่อนมาตรการการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือปรับลดอัตราภาษีลดลงไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉพาะปี2569 หรือจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว
โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยค้างสต๊อกสะสมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กว่า2แสนหน่วย มูลค่า1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการที่มีสต๊อกในมือจำนวนมากจะลดภาระลง มากถึง50% ขณะเดียวกันยังลดผลกระทบที่ดินรอพัฒนารวมถึงประชาชนที่มีที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อย หรือที่ดินมรดกสามารถเก็บไว้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นภาระเสียภาษีในแต่ละปีที่เพิ่มมากขึ้น
ในทางกลับกัน การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% จะเป็นผลดีให้กับเจ้าของที่ดินรายใหญ่ หรือเศรษฐีที่มีที่ดินในมือ ที่ยังไม่ทำประโยชน์ นำที่ดินที่รกร้างทำเลกลางใจเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร มาทำแปลงเกษตรซึ่งช่วยลดภาระภาษี ประเภทรกร้าง จากล้านละ 3,000บาท หรือ 0.3% เหลือ เท่ากับประเภทที่อยู่อาศัย ที่ล้านละ 200 บาทหรือ 0.01% อย่างไรก็ตามหากมีมาตรการลดภาษีลง ดังกล่าวเท่ากับว่าแลนด์ลอร์ดดังกล่าวจะเสียภาษีลดลง อีก50%
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่กฎหมายภาษีที่ดินมีผลบังคับใช้ เอกชนจำนวนไม่น้อยต้องการแก้ไขกฎหมายเพื่อ อุดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าของที่ดินรายได้ ที่ยังมีวิธีลดภาระภาษีตนเอง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่ควร ให้แลนด์ลอดร์ด ที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าวได้โอกาส
แลนด์ลอร์ดได้อานิสงส์
ในทางกลับกัน การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% จะเป็นผลดีให้กับเจ้าของที่ดินรายใหญ่ หรือเศรษฐีที่มีที่ดินในมือ ที่ยังไม่ทำประโยชน์ นำที่ดินที่รกร้างทำเลกลางใจเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร มาทำแปลงเกษตรซึ่งช่วยลดภาระภาษี ประเภทรกร้าง จากล้านละ 3,000บาท หรือ 0.3% เหลือ เท่ากับประเภทที่อยู่อาศัย ที่ล้านละ 200 บาทหรือ 0.01% อย่างไรก็ตามหากมีมาตรการลดภาษีลง ดังกล่าวเท่ากับว่าแลนด์ลอร์ดดังกล่าวจะเสียภาษีลดลง อีก50%
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่กฎหมายภาษีที่ดินมีผลบังคับใช้ เอกชนจำนวนไม่น้อยต้องการแก้ไขกฎหมายเพื่อ อุดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าของที่ดินรายได้ ที่ยังมีวิธีลดภาระภาษีตนเอง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่ควร ให้แลนด์ลอดร์ด ที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าวได้โอกาส
อสังหาฯชงปลดล็อกภาษีที่ดิน
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ภาคเอกชนได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างหนักต่อสถานการณ์ที่ยังไม่ฟื้นตัว และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพิจารณามาตรการลดภาระต่างๆ
โดยเฉพาะ ปัญหาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมรวมถึงคนที่มีที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยของประชาชนไม่สามารถนำที่ดินไปพัฒนาได้เนื่องจากเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ในทางกลับกันหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำประโยชน์ต้องรับภาระภาษีที่จะเกิดขึ้น
"ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เคยมีมาตรการลดภาษีที่ดินลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัตราภาษีก็กลับสู่ระดับปกติสำหรับที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์ แต่ปัญหานี้สร้างผลกระทบต่อที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยที่ซื้อไว้เพื่อปลูกบ้านในอนาคตต้องเร่งสร้างเร่งพัฒนา"
ดังนั้นเอกชนจึงได้มีการเสนอให้มีการลดภาษีสำหรับทุกอุตสาหกรรม โดยข้อเสนอคือขอให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพียง 1 ปี หรือในปี2569 หากเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะกลับไปใช้อัตราปกติ
อย่างไรก็ตาม นายอิสระมองว่า ความเหลื่อมล้ำของอัตราภาษีที่ดินฯยังมีอยู่มาก ประเด็นสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาคือความแตกต่างของอัตราภาษี โดยปัจจุบันอัตราภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยอยู่ที่ ล้านละ 3,000 บาท หากขายไม่หมด ภายใน3ปีนับตั้งแต่ได้รับใบอนุญาตทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดซึ่งจะกลายเป็นสต๊อกที่ถูกตีความว่า ต้องอยู่ในข่ายเสียภาษีหมวดอื่นๆที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ ที่0.3% ตามราคาประเมินที่ดินของทางราชการ ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรม ทั้งที่เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้บริโภค โดยมองว่าควรเสียภาษีเท่ากับที่อยู่อาศัยทั่วไป ที่ล้านละ 200 บาท ทำให้มีความแตกต่างกันถึง 15 เท่า
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ช่องทาง การทำเกษตรกรรมในเมือง เพื่อลดภาระภาษี โดยมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพื่อป้องกันการหลบเลี่ยง แม้ว่าการทำเกษตรในเมืองจะมีประโยชน์ในแง่ของการกระจายการใช้ประโยชน์และควรอนุโลมให้ประชาชนนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือให้หน่วยราชการยืมไปใช้ประโยชน์เพื่อการสาธารณะได้
"มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากกฎหมายห้ามปลูกต้นไม้ บนที่ดินของตนเองก็อาจจะนำไปสู่การปลูกบ้านเล็กๆ เพื่อให้เข้าข่ายเสียภาษีในอัตราที่ถูกลง หรือล้านละ 200 บาท อยู่ดี โดยมองว่าภาษีต้องมีการแก้ไขเชิงโครงสร้างซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้กฎหมาย ที่ภาคเอกชนเสนอขอแก้ไขภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปแล้วในหลายหัวข้อ"
เช่นเดียวกับ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงหนึ่งในข้อเสนอเร่งด่วนที่สมาคมเตรียมนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี คือการ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมาตรการนี้ครอบคลุมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม แม้ว่าบ้านที่อยู่อาศัยหลักจะได้รับการยกเว้นขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการปรับลดดังกล่าวอาจกระทบรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเสนอแนวทางชดเชยผ่านการจัดเก็บ ภาษีลาภลอย (Windfall Tax) สำหรับกรณีการขายที่ดินที่ได้รับกำไรจากการลงทุโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น รถไฟฟ้าหรือรถไฟความเร็วสูง โดยเสนอให้กำหนดอัตราภาษีตั้งแต่ 30% ขึ้นไป ซึ่งสูงกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด เพื่อให้รายได้ส่วนนี้กลับมาชดเชยท้องถิ่นที่สูญเสียไปจากการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ด้านนางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกกิติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย มองว่า ที่ผ่านมาได้ผลักดันมาโดยตลอด ว่า รัฐควรลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง เนื่องจากกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะที่ดินรอการพัฒนาแต่หากเป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่นำที่ดินกลางเมืองปลูกกล้วยเลี่ยงภาษี ที่เอาเปรียบผู้ประกอบการไม่ควรได้รับการยกเว้น หรือใช้สิทธิ์ลดภาษีลง50%
ที่มากไปกว่านั้น ธุกิจอสังหาริมทรัพย์พัฒนาเพื่อผู้บริโภคต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง แต่กลับมีภาษีมากระทบจำนวนมากซึ่งผลที่ตามมาผู้ประกอบการผลักภาระให้กับผู้บริโภครับภาระ
สะท้อนจากมีการเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อน รวมกว่า10 % ตั้งแต่เริ่มพัฒนาซื้อวัสดุก่อสร้างภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยห้ามขอคืนเมื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย และโอนขายต้องเสียภาษี ธุรกิจเฉพาะ3.3% ภาษีเงินได้หักณที่จ่ายอีก1% และเสียค่าธรรมเนียมการโอนอีก 2% รวม6.3% เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะมีภาษีที่ต้องแบกรับ 13.3%
อย่างไรก็ตามเมื่อขายไม่ได้ กลายเป็นสต๊อกต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้า อีก 0.3% หากมีสต๊อกในมือต่อปี 10,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการต้องมีภาระ 30 ล้านบาทต่อปี ขึ้นอยู่กับสต๊อกจะลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจ
ลุ้นรัฐบาลอนุทินไฟเขียว
ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และฐานะโฆษกรัฐบาลยืนยันว่า กลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้าง มีข้อเสนอนโยบายเร่งด่วนเสนอต่อรัฐบาลพิจารณา เพื่อให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นและช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างหารือกับภาคธุรกิจหลายภาคส่วนก่อนที่จะเข้ามาบริหารประเทศเพื่อรวบรวมความเห็นและมุมมองต่างๆจากภาคธุรกิจเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับข้อเสนอของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้มีการนำเสนอต่าง ๆ เช่น การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2569 เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือรอจนกว่าภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้น ถือเป็นข้อเสนอที่รัฐบาลจะพิจารณา ควบคู่กับมาตรการระยะสั้นอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วย
โดยนายสิริพงศ์ ย้ำว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดูมาตรการที่สามารถทำได้ทันที และมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเร็ว โดยธุรกิจอสังหาฯ มีความเชื่อมโยงไปยังธุรกิจจำนวนมาก และข้อเสนอต่าง ๆ นั้นเราได้รับจากภาคธุรกิจ และได้รับเสียงสะท้อนจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่ผ่านมา โดยภาคธุรกิจนี้ถือว่ามีการชะลอตัวมานาน จึงต้องมีมาตรการเข้าไปดูแลเช่นกัน