ก้าวต่อไป สศค. จากภาษีที่ดิน-มรดก สู่ภาษีความมั่งคั่ง-สังคมเป็นธรรม

02 พ.ค. 2568 | 01:19 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2568 | 01:30 น.

เจาะลึกอนาคตภาษีไทยกับ สศค. จากภาษีที่ดินและภาษีมรดกสู่ “ภาษีความมั่งคั่ง” เบื้องหลังการออกแบบระบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และสังคม

ในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง หากมองย้อนไปในเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย จะพบว่ามีหน่วยงานหนึ่งที่ทำงานอย่างแข็งขันเบื้องหลังการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ นั่นคือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. องค์กรที่ทำหน้าที่เป็นทั้งมันสมองและผู้ผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจการคลังมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจไทย

จุดเริ่มต้นผู้วางรากฐานภาษีเพื่อความเป็นธรรม

สศค. ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะนโยบายด้านเศรษฐกิจการคลังและภาษีอากร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา องค์กรแห่งนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายวาระสำคัญ ทั้งในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง วิกฤตเศรษฐกิจ และช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า สศค. มีบทบาทในการวางรากฐานนโยบายการคลังที่สำคัญของประเทศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการปฏิรูประบบภาษีให้มีความทันสมัย เป็นธรรม และสอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญคือการผลักดันการปฏิรูประบบภาษีครั้งสำคัญผ่าน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งมาแทนที่ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2508 ตามลำดับ

 

ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 

ขณะเดียวกัน การผลักดันให้มีการจัดเก็บภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้ตามพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการปฏิรูประบบภาษีเพื่อความเป็นธรรมในสังคมไทย แม้กฎหมายฉบับนี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสรรพากรเป็นหลัก แต่การผลักดันแนวคิดด้านความเท่าเทียมและการกระจายรายได้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง

"ภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนรวยกับคนจน โดยมุ่งเน้นที่การจัดเก็บภาษีทางตรงจากผู้ที่มีความมั่งคั่งจากทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากการรับมรดกในจำนวนที่มากเกินกว่าการดำรงชีวิตประจำวัน" ดร.พรชัย อธิบาย

การขับเคลื่อนนโยบายการคลังเพื่อความยั่งยืน-เป็นธรรม

ในปัจจุบัน สศค. ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจการคลังอย่างต่อเนื่อง โดยใช้มาตรการทางภาษีและการคลังเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกออกแบบให้ใช้มูลค่าทรัพย์สินเป็นฐานภาษี และจัดเก็บในอัตราก้าวหน้า ทำให้ผู้มีทรัพย์สินมูลค่าสูงเสียภาษีมากกว่าผู้มีทรัพย์สินมูลค่าน้อย สะท้อนหลักความสามารถในการจ่าย (Ability to Pay) อันเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นธรรมทางภาษี

นอกจากนี้ ภาษีที่ดินฯ ยังได้ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างคุ้มค่า แก้ปัญหาการถือครองที่ดินรกร้างเพื่อเก็งกำไร โดยกำหนดให้ที่ดินที่ปล่อยว่างเปล่าเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ขณะที่ยกเว้นภาษีให้กับที่ดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์
ในช่วงเริ่มต้นบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลได้กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่านไว้อย่างชัดเจน

โดยในปีแรกที่เสียภาษีที่ดินฯ ให้ผู้เสียภาษีชำระภาษีส่วนแรกเท่ากับภาษีเดิมที่เคยชำระในปีก่อนหน้า และภาษีส่วนที่ 2 เท่ากับส่วนที่ถูกประเมินเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเพียงร้อยละ 2 ในปีที่ 2 ให้ชำระภาษีส่วนที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 50 ในปีที่ 3 ให้ชำระเพิ่มขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 75 และชำระภาษีเต็มจำนวนในปีที่ 4 

 

ก้าวต่อไป สศค. จากภาษีที่ดิน-มรดก สู่ภาษีความมั่งคั่ง-สังคมเป็นธรรม

 

มาตรการนี้ทำให้เจ้าของทรัพย์สินมีเวลาในการปรับตัวและมีแรงจูงใจในการปรับปรุงที่ดินเพื่อลดภาระภาษีในอนาคต

ในส่วนของภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้ การจัดเก็บภาษีเหล่านี้ช่วยป้องกันการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ เนื่องจากเจ้ามรดกและผู้รับมรดกที่มีทรัพย์สินสูงเกิน 100 ล้านบาทต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน ขณะที่ภาษีการรับให้ช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีการรับมรดกด้วยการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินก่อนเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีมรดกยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญ เนื่องจากผู้มีรายได้สูงมักใช้วิธีการหลบเลี่ยงไม่จ่ายภาษีผ่านช่องว่างทางกฎหมาย เช่น การโอนทรัพย์สินให้คู่สมรส การยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปยังต่างประเทศ หรือการทำประกันชีวิต ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพัฒนาปรับปรุงกฎหมายให้ทันต่อเทคนิควิธีการต่าง ๆ ในอนาคต

"การออกแบบภาษีที่ดินฯ และภาษีมรดก ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการกระจายการถือครองทรัพย์สินและรายได้ในสังคมอย่างเป็นธรรมมากขึ้น" ดร.พรชัยกล่าว

ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา สศค. พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ในปี พ.ศ. 2566 ประมาณ 36,834 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้จากภาษีโรงเรือนฯ และภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บได้ในปี พ.ศ. 2562 จำนวน 36,527 ล้านบาท แม้จะผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่มีการลดภาษีเหลือเพียงร้อยละ 10 ในช่วงแรก

ล่าสุด สศค. ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นประเมินผลสัมฤทธิ์ของ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ และเผยแพร่รายงานผลผ่านระบบกลางทางกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เพื่อรับฟังปัญหาและปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

รวมถึงได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้กับทรัพย์สินบางประเภท เช่น การยกเว้นภาษีให้แก่พื้นที่สีเขียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และพื้นที่ป่าชายเลนตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำหนด ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการแผ้วถางป่าชายเลนเพื่อแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

สำหรับภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้ แม้จะมีข้อจำกัดในการจัดเก็บเนื่องจากการกำหนดวงเงินยกเว้นที่สูงถึง 100 ล้านบาท แต่ก็ได้วางหลักการสำคัญสำหรับการกระจายรายได้ในระยะยาว เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ทั้งเยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศที่ใช้ภาษีมรดกเป็นเครื่องมือในการกระจายความมั่งคั่ง

 

ก้าวต่อไป สศค. จากภาษีที่ดิน-มรดก สู่ภาษีความมั่งคั่ง-สังคมเป็นธรรม

 

แผนการปฏิรูประบบรายได้รัฐบาลและก้าวต่อไปสู่ภาษีความมั่งคั่ง

มองไปข้างหน้า สศค. ได้วางแผนการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอย่างเป็นระบบ ผ่านการทำงานของคณะกรรมการพัฒนาระบบรายได้รัฐบาล ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยมีเป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่

ประการแรก ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยทบทวนการยกเว้นและลดหย่อนภาษีที่ไม่จำเป็น ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุม และศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่

ประการที่สอง รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษี ทำให้ประชาชนสามารถชำระภาษีได้อย่างสะดวกและโปร่งใส

ประการที่สาม ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว โดยใช้ระบบภาษีสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและภาคธุรกิจลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

ประการที่สี่ สร้างความเป็นธรรม ทั่วถึง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสนับสนุนโครงข่ายรองรับทางสังคมและสุขภาพ โดยเฉพาะในบริบทสังคมผู้สูงอายุที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ความท้าทายสำคัญที่ สศค. กำลังศึกษาอย่างจริงจังคือการพัฒนาภาษีความมั่งคั่ง (Net Wealth Tax) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญต่อจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีการรับมรดก ภาษีความมั่งคั่งมุ่งจัดเก็บจากมูลค่ารวมของสินทรัพย์สุทธิที่บุคคลถือครอง ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก หรือสินทรัพย์มีค่าอื่น ๆ หักด้วยหนี้สิน

"ภาษีความมั่งคั่งเป็นเครื่องมือที่หลายประเทศใช้ในการลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการกระจายรายได้ การศึกษาแนวทางนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีทางเลือกที่หลากหลายขึ้นในการพัฒนาระบบภาษีที่เป็นธรรมและยั่งยืน" ดร.พรชัย ระบุ

การพัฒนาภาษีความมั่งคั่งจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบในหลายมิติ ทั้งการกำหนดวงเงินขั้นต่ำที่จะถูกจัดเก็บ อัตราภาษีที่เหมาะสม มาตรการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่แม่นยำ รวมถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจ

ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วในการปฏิรูประบบรายได้ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ การพัฒนาระบบยื่นแบบอิเล็กทรอนิกส์ การนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลภาษีมาใช้ในการตรวจสอบผู้มีความเสี่ยงในการหลีกเลี่ยงภาษี และล่าสุดคือการกำหนดราคาปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน

"การปฏิรูประบบภาษียังไม่จบเพียงเท่านี้ เรายังมองเห็นช่องว่างที่ต้องพัฒนาต่อไป" ดร.พรชัยกล่าว "โดยเฉพาะการปรับสมดุลระหว่างภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม การพัฒนาเครื่องมือทางภาษีที่รองรับรายได้รูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล และการปรับรูปแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เอื้อต่อผู้มีรายได้น้อย"

นอกจากการศึกษาภาษีความมั่งคั่งแล้ว สศค. ยังพิจารณาทบทวนโครงสร้างภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การพิจารณาปรับลดวงเงินยกเว้นภาษีมรดกให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจไทย และการปรับปรุงมาตรการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการลดการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและสร้างความเป็นธรรมในสังคม

 

ก้าวต่อไป สศค. จากภาษีที่ดิน-มรดก สู่ภาษีความมั่งคั่ง-สังคมเป็นธรรม

 

สุดท้ายนี้ สศค. ยังเน้นย้ำว่า การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจำเป็นต้องดำเนินควบคู่ไปกับนโยบายด้านสวัสดิการสังคม การโอนย้ายรายได้ของภาครัฐ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้มาตรการทางการคลังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมในสังคมไทย

ตลอดระยะเวลา 150 ปีของกระทรวงการคลัง สศค. ได้พิสูจน์บทบาทสำคัญในฐานะผู้เบื้องหลังการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี การลดความเหลื่อมล้ำ และการส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมในสังคมไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต