LPP–LPS รุกโซลูชันใหม่ One-Stop Service สู้แผ่นดินไหว-ค่าแรงกดดันธุรกิจ

18 ก.ย. 2568 | 12:09 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2568 | 20:57 น.

แอลพีเอส โปรเจค มาเนจเมนท์ (LPS) เครือ LPP ฉลองครบรอบ 30 ปี ประกาศรุก One-Stop Service ครอบคลุมงานพัฒนา บริหาร และรีโนเวตอาคาร พร้อมรับแรงกดดันค่าแรงและตลาดอสังหาฯ ผันผวน

KEY

POINTS

  • LPP และ LPS ปรับกลยุทธ์ใหม่เป็น One-Stop Service ให้บริการครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และซ่อมบำรุง
  • เพื่อรับมือกับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจรักษาความปลอดภัย จึงเปลี่ยนไปสู่การใช้โซลูชันเทคโนโลยี เช่น กล้อง AI และ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพ
  • รุกตลาดงานซ่อมบำรุงอาคารหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจมูลค่าสูง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและเครือข่ายประกันภัย
  • มองเห็นโอกาสในการเติบโตจากเทรนด์การรีโนเวตอาคารเก่า (Redevelop) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนการลงทุนและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน

บริษัท แอลพีเอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) ในเครือ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ประกาศความสำเร็จครบ 30 ปีการเป็นผู้ให้บริการเบื้องหลังโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ พร้อมปรับโฉมครั้งใหญ่สู่การเป็น One-Stop Service ครอบคลุมงานที่ปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง ซ่อมบำรุง และการบริหารจัดการโครงการแบบครบวงจร

นายอนุวัฒน์ มณีนพรัตน์ กรรมการผู้จัดการ LPS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าโตเฉลี่ยปีละ 26% ภายใน 3 ปี โดยชูจุดแข็งจากประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี และผลงานกว่า 100 โครงการ ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และโครงการแนวราบ รวมถึงงาน Redevelop อาคารเก่าและโรงแรมที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในยุคที่การลงทุนใหม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนสูงและข้อกฎหมาย

อนุวัฒน์ มณีนพรัตน์

ด้านนายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LPP เสริมว่า ธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญ “ต้นทุนแรงงาน” ที่พุ่งสูง โดยเฉพาะอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการคิดค่าล่วงเวลาใหม่ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนธุรกิจรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นอาชีพสงวนสำหรับแรงงานไทยเท่านั้น

เขาระบุว่า โมเดลการคิดราคาตามจำนวนหัว (Headcount) อาจไม่ยั่งยืนอีกต่อไป และตลาดเริ่มเปลี่ยนสู่ Solution-based Model เช่น การใช้กล้อง AI, IoT, คีย์การ์ด และระบบควบคุมอัจฉริยะ มาเพิ่มประสิทธิภาพควบคู่กับการใช้แรงงานคน

“ที่ผ่านมา ลูกค้าบางราย เช่น กลุ่มคอร์ปอเรตใหญ่ ๆ เริ่มเปลี่ยนจากการประมูล รปภ. ตามจำนวนหัว มาเป็นการให้ผู้ให้บริการเสนอ ‘โซลูชัน’ ที่คุ้มค่ากว่าและตอบโจทย์ความเสี่ยงเฉพาะของโครงการ นี่จะเป็นทิศทางสำคัญในอนาคต” นายสุรวุฒิกล่าว

นอกจากนี้ LPP ยังได้รับแรงหนุนจากตลาด งานซ่อมบำรุงหลังแผ่นดินไหว ที่สร้างความเสียหายรวมระดับหมื่นล้านบาท นายอนุวัฒน์เผยว่า ปัจจุบันมีงานในมือกว่า 1,200 ล้านบาท และมีโอกาสเพิ่มอีก 500 ล้านบาทในปีหน้า จากทั้งงานใหม่และงานซ่อมต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งด้านเครือข่ายประกันและทีมวิศวกรที่ช่วยให้การประเมินและซ่อมแซมทำได้รวดเร็ว

นอกจากงานซ่อมบำรุงจากเหตุฉุกเฉินแล้ว การรีโนเวตอาคารเก่า (Redevelop) กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่ LPS มองเห็น นายอนุวัฒน์ มณีนพรัตน์ ระบุว่า ปัจจุบันมีหลายโครงการหันมาเลือกปรับปรุงอาคารเดิมแทนการสร้างใหม่ เช่น การปรับอพาร์ตเมนต์เก่าเป็นคอนโดมิเนียม หรือการรีโนเวตโรงแรมเก่าสู่ธุรกิจใหม่ เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ทั้งคุ้มค่าและยั่งยืน ลดต้นทุนการลงทุนและยังสอดรับกับแนวโน้ม ESG

เขาเสริมว่า LPS มีจุดแข็งจากการบูรณาการงาน Survey ออกแบบ ก่อสร้าง และวิศวกรรม จนส่งมอบเป็นโครงการที่พร้อมใช้งาน ทำให้เจ้าของที่ดินหรือผู้พัฒนาโครงการสามารถ “รีแบรนด์” ได้ทันที โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านการลงทุนก่อสร้างใหม่ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดที่ต้องการ Smart Building และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในฝั่งงานบริหารโครงการ LPP เตรียมรับโอนคอนโดใหม่กว่า 1,800 ยูนิตในนิคมอมตะสิ้นปีนี้ และตั้งเป้าขยายจาก 280 นิติบุคคลปัจจุบัน เพิ่มเฉลี่ยปีละ 15–30 แห่ง โดยเน้นโซนศักยภาพสูง เช่น พระราม 3 สุขุมวิท และพระราม 9 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายบริการ

สุรวุฒิ สุขเจริญสิน

สองผู้บริหารยังเน้นย้ำว่า LPP–LPS จะเดินหน้าเชิงรุก โดยใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายยาวนาน เทคโนโลยี และบริการครบวงจร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและการบริหารความเสี่ยง พร้อมผลักดันโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้โครงการในยุคเปลี่ยนผ่าน

นอกเหนือจากการเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์ใหม่ นายสุรวุฒิ ยังเผยมุมมองในภาพกว้างว่า รัฐบาลควรพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงและการบังคับใช้อัตราค่าล่วงเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ต้นทุนภาคบริการเพิ่มขึ้นเร็วจนกระทบทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค พร้อมเสนอว่าควรมีมาตรการสนับสนุนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างรายได้แรงงานและศักยภาพของธุรกิจ

นอกจากนี้ นายอนุวัฒน์ ยังเสริมว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐควรเสริมกลไกด้านการบริหารจัดการวิกฤติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเอกชนและลูกบ้าน ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาและส่งมอบบริการที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มที่ในระยะยาว