อสังหาฯ ปี 68 เปราะบาง รับแรงสะเทือนทั้งเศรษฐกิจ-แผ่นดินไหว

12 มิ.ย. 2568 | 23:36 น.

แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหสยังคงสะท้อนในความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและท่าทีของผู้ประกอบการ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ปี 2568 จึงกลายเป็นปีที่ตลาดอสังหาฯ ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนรอบด้าน

มื่อต้นปี 2568 เหตุการณ์แผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคเหนือและบางส่วนของภาคกลาง กลายเป็นบททดสอบสำคัญของอาคารสูงทั่วประเทศ ทั้งในแง่ความแข็งแรงทางวิศวกรรม และความกังวลทางจิตใจของผู้บริโภค แม้จะไม่มีความเสียหายรุนแรงในเมืองหลัก แต่ความรู้สึกหวั่นไหวต่อความปลอดภัยกลับปกคลุมไปทั่วตลาด

นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า เหตุแผ่นดินไหวทำให้ยอดจองคอนโดฯ สูงในกรุงเทพฯ ชะลอตัวในช่วงแรก แต่ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน ความเชื่อมั่นก็กลับคืนมา ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างอาคารในไทยถูกออกแบบมาให้รับแรงสั่นสะเทือนได้ดี อีกส่วนเพราะบริษัทรีบเข้าไปสร้างความมั่นใจกับลูกค้า ทั้งการตรวจสอบตึก การให้ข้อมูล และเตรียมทดลองติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจแรงสั่นสะเทือนในอาคารสูงกว่า 120 เมตร เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกในระยะยาว

องอาจ สุวรรณกุล

“สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบทเรียนให้ทั้งวงการออกแบบและก่อสร้างพัฒนาไปอีกขั้น และทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าเราจริงจังกับความปลอดภัยแค่ไหน” นายองอาจกล่าว

ทั้งนี้ นายองอาจมองว่า แม้อาจจะเกิดกระแสความสนใจบ้านแนวราบมากขึ้น แต่ในเชิงโครงสร้างเมือง บ้านยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่คอนโดมิเนียมในตัวเมืองได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านที่ดิน การเดินทาง และความใกล้ชิดแหล่งงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการใช้ชีวิตในเมืองหลวง

ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ก็เห็นพ้องว่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหว แม้จะไม่ส่งผลต่อโครงการโดยตรง แต่ก็ทำให้ลูกค้าตัดสินใจช้าลง แม้จะกระทบยอดโอนในระยะสั้น แต่กลับกลายเป็นโอกาสในด้านความเชื่อมั่น เพราะลูกค้าได้เห็นว่าอาคารไม่มีความเสียหาย โครงสร้างมั่นคง และบริษัทเข้าไปดูแลทันที ซึ่งสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกมากขึ้นในระยะยาว

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

นางสาววรพนิต รวยรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เรนวูด กรุ๊ป เสริมว่า เหตุแผ่นดินไหวได้กระตุ้นให้ผู้บริโภคในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เริ่มตั้งคำถามกับความปลอดภัยของอาคารสูง และมองหาทางเลือกใหม่ เช่น การย้ายไปอยู่โครงการแนวราบในชานเมืองที่สงบ เป็นธรรมชาติ และเดินทางสะดวกโดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม

วรพนิต รวยรุ่งเรือง

“ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ขายฟังก์ชันหรือทำเล แต่ต้องสร้างคอมมูนิตี้ที่ดี มีพื้นที่สีเขียว และคุณภาพการใช้ชีวิตในระยะยาว” เธอกล่าว พร้อมระบุว่า โครงการที่มีจุดขายชัดเจนเรื่องสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และสังคมคุณภาพ จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น

ขณะที่นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ระบุว่า ภาพรวมครึ่งปีหลังยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัจจัยด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

วัลยา จิราธิวัฒน์

“แม้จะไม่มีความเสียหายรุนแรง แต่ผู้บริโภคเริ่มใส่ใจเรื่องโครงสร้าง ความปลอดภัย และมาตรฐานอาคารมากขึ้น”

ปีนี้จึงเป็นปีที่หลายบริษัทยังเลือกวางกลยุทธ์และลงทุนอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่ยังทำให้การวางแผนพัฒนาโครงการต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านต้นทุน การบริหารความเสี่ยง และพฤติกรรมผู้ซื้อที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ผู้ประกอบการหลายรายจึงเน้นการลงทุนในทำเลที่มีความต้องการชัดเจน ระมัดระวังการเติมซัพพลาย และให้ความสำคัญกับจุดขายที่ชัดเจน ทั้งด้านคุณภาพก่อสร้าง ความปลอดภัย ความยั่งยืน และการสร้างคอมมูนิตี้ที่ตอบโจทย์ชีวิตหลังวิกฤต เช่นแสนสิริที่ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ ทั้งในเมืองและเมืองท่องเที่ยว

นายไตรเตชะยังระบุเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บ้านแนวราบระดับกลางราคาประมาณ 4–7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่กู้ผ่านได้และยังมีดีมานด์ซื้ออยู่จริง อาจจะได้เห็นสถานการณ์ดีที่สุดจากทุกเซ็กเมนต์ ทั้งนี้ ในปีนี้ยอดเปิดโครงการใหม่ของทั้งตลาดจะตํ่าสุดในรอบ 15 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งสัญญาณสะท้อนการชะลอตัวที่ชัดเจน

อสังหาฯ ปี 68 เปราะบาง รับแรงสะเทือนทั้งเศรษฐกิจ-แผ่นดินไหว

ขณะเดียวกันหลายบริษัทเลือกตอบโจทย์กลุ่มตลาดที่มีความต้องการชัดเจน เช่น บ้านสำหรับผู้สูงอายุ, โครงการ ESG, หรือคอนโดฯ แบบ hybrid ที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและลงทุน โดยใช้ความแตกต่างในการออกแบบเป็นจุดขาย

ในส่วนของการเรียกความมั่นใจผู้บริโภคกลับคืน นายไตรเตชะระบุว่า การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องส่งสัญญาณนโยบายชัดเจน ธนาคารพาณิชย์ที่ควรผ่อนคลายเกณฑ์สินเชื่ออย่างสมเหตุสมผล และผู้พัฒนาโครงการเองที่ต้องจริงใจและสื่อสารข้อมูลตรงไปตรงมาให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการ

เช่นเดียวกันกับนางสาววัลยาที่ระบุว่า ในมุมของการเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับคืน ไม่ใช่เรื่องของผู้ประกอบการเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยกลไกสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องมีนโยบายชัดเจนและเป็นรูปธรรม ธนาคารพาณิชย์ที่ควรพิจารณาเกณฑ์สินเชื่ออย่างเหมาะสม รวมถึงภาคเอกชนที่ต้องมีความโปร่งใส จริงใจ และแสดงศักยภาพในการบริหารจัดการโครงการอย่างมืออาชีพ

ทั้งนี้ ท่ามกลางปีแห่งความเปราะบาง อสังหาฯ ไทยกำลังอยู่ในช่วงปรับสมดุลใหม่ ทั้งในแง่รูปแบบโครงการ โลเคชัน และวิธีคิดของผู้เล่นในตลาด การเอาชนะแรงสั่นสะเทือนทั้งในรูปธรรมและนามธรรม จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างอาคารอีกต่อไป แต่คือเรื่องของความเชื่อมั่น ความชัดเจน และความเข้าใจในสิ่งที่ผู้คนต้องการจากคำว่า “บ้าน”

 

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,105 วันที่ 15 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568