รัฐคลอดมาตรการลดค่าโอนฯ เอกชนยังหวั่นหลายปัจจัยกระทบอสังหาฯ

08 เม.ย. 2568 | 09:05 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 09:11 น.

ตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 เผชิญปัจจัยรุมเร้า สินเชื่อ-แผ่นดินไหว กระทบความเชื่อมั่นคอนโดฯ แม้รัฐออกมาตรการลดค่าโอนฯ-จดจำนองบ้านไม่เกิน 7 ล้าน แต่อาจยังไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ

นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะกำลังซื้อที่ลดลงของกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางลงไป เนื่องจากติดข้อจำกัดในการขอสินเชื่อจากธนาคาร ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์พยายามผลักดันให้รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะการขยายเวลามาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองที่จะหมดอายุภายในสิ้นปี 2567

แม้รัฐบาลยังไม่ตอบสนองข้อเสนอเหล่านั้นโดยตรง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศยกเว้นมาตรการ Loan to Value (LTV) ทุกระดับราคาเป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่ภาคเอกชนตอบรับได้ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองเพิ่มเติมต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นในตลาดคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโครงการที่เป็นอาคารสูง ซึ่งอาจส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ชะลอลงในระยะสั้น แต่หากผู้ประกอบการสามารถสร้างความมั่นใจด้านโครงสร้าง ความปลอดภัย และไม่มีเหตุแผ่นดินไหวซ้ำในระยะใกล้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อคอนโดฯ สูงจะฟื้นตัวได้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งอาจจะไม่ได้กระตุ้นกำลังซื้อมากนัก

โดยเฉพาะภาคคอนโดมิเนียม แต่คาดว่าตลาดบ้านหรือที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารที่ไม่สูงจะได้รับอานิสงค์พอช่วยประคองยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านแนวราบและคอนโดฯ อาคารไม่สูงในปีนี้ ช่วยให้ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 ลดลงจากปี 2567 ไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปัจจัยลบหลายด้านเพิ่งเริ่มส่งผล เช่น เหตุแผ่นดินไหว หรือประกาศเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่มีต่อไทย ซึ่งอาจกระทบการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและอาจลามถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ได้เช่นกัน โดยภาพรวมยังประเมินได้ยาก และผู้ประกอบการยังต้องจับตาความคืบหน้ามาตรการภาครัฐอย่างใกล้ชิด