KEY
POINTS
หลังเหตุการณ์ “ทหารไทยเหยียบกับระเบิด” ระหว่างปฏิบัติการลาดตระเวนแนวชายแดนบริเวณ ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนมีกำลังพลบาดเจ็บ 4 นาย หนึ่งในนั้นสูญเสียขาขวา
เหตุระเบิดลูกเดียวได้สั่นคลอน “สันติภาพชายแดน” ที่เพิ่งประกาศไว้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ และกลายเป็นชนวนให้รัฐบาลไทยประกาศ “ระงับ” การปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมทั้งหมดกับกัมพูชาอย่างไม่มีกำหนด
ระงับปฏิญญาไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งใช้เวลาหารือนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติ “ระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา” และ “ยุติการส่งเชลยศึกกลับทางกัมพูชา” ทั้งหมด
“การสูญเสียของกำลังพลไทยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ การมีกับระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย คือ การละเมิดอธิปไตยโดยตรง รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตยและชีวิตของคนไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ”พล.อ.ณัฐพล ระบุ
พร้อมย้ำว่า กองทัพไม่คาดหวัง “ความจริงใจ” จากกัมพูชาอีกต่อไป และจะไม่มีการเจรจาทางทหารหรือผ่านคณะกรรมาธิการชายแดน (GBC) ในระยะนี้ โดยไทยจะดำเนินการทุกอย่างภายในเขตอธิปไตยของตนเอง รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังค้างในพื้นที่ชายแดนแม้ฝ่ายกัมพูชายังไม่ตอบรับ
ทั้งเผยว่า สมช.ได้อนุมัติให้กองทัพ “ยกระดับมาตรการทางทหาร” แล้ว แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดของการปฏิบัติการ เพื่อความปลอดภัยของหน่วยในพื้นที่
จ่อฟ้องประชาคมโลก
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชาแล้ว พร้อมเตรียมประท้วงเพิ่มเติมในกรอบ อนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ไทยจะทำหนังสือถึงประเทศสหรัฐอเมริกา และ มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ลงนามร่วมเป็นสักขีพยานในถ้อยแถลง เพื่อชี้แจงเหตุผลในการระงับข้อตกลง พร้อมทั้งส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมประชาคมโลก เพื่อให้เข้าใจว่าไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการนี้เพราะมีการ “ละเมิดสัญญา” จากอีกฝ่าย
“หากกัมพูชาต้องการกลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น จะต้องแสดงความรับผิดชอบ แสดงความเสียใจ และตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
นายสีหศักดิ์ ย้ำด้วยว่า นี่ไม่ใช่เพียงการประท้วง แต่คือการ “ระงับปฏิบัติการตามถ้อยแถลงโดยเด็ดขาด” จนกว่ากัมพูชาจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนและมีความจริงใจ
สั่งเตรียมแผนรับมือชายแดน
ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล แถลงคำสั่งนายกรัฐมนตรีว่า นายอนุทิน ได้สั่งการให้
กลาโหม : ยุติการดำเนินการตามปฏิญญาชายแดนทั้งหมดทันที พร้อมเตรียมมาตรการทางทหารที่จำเป็น
ต่างประเทศ : เดินหน้าประท้วงทางการทูต หากกัมพูชาไม่ชี้แจงหรือแสดงความรับผิดชอบ จะพิจารณา “ยกเลิกปฏิญญา” อย่างถาวร
มหาดไทย-สาธารณสุข : เตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ชายแดน 7 จังหวัด เช่น แผนอพยพประชาชน-ผู้ป่วย โรงเรียน และโรงพยาบาล
แรงงาน : ทบทวนมาตรการบริหารแรงงานกัมพูชาในไทย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ทั้งหมดนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า “เป็นคำสั่งในภาวะวิกฤติ ที่ทุกหน่วยต้องพร้อมทั้งเชิงทหาร การทูต และ ความมั่นคงภายใน”
กองทัพบกยุติทุกข้อตกลง
ด้าน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) แถลงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวว่า
“ความจริงได้ปรากฏแล้วว่า ท่าทีแห่งความเป็นปรปักษ์ยังคงอยู่กองทัพบกจำเป็นต้องยุติทุกข้อตกลง เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเองจากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม”
แหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพเผยว่า คำสั่งภายในที่ออกตามหลังการประชุม สมช. มีสาระสำคัญคือให้ “กองกำลังสุรนารี” และหน่วยชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมกำลังพร้อมปฏิบัติการในระดับ “ป้องปรามเต็มรูปแบบ” พร้อมเพิ่มการลาดตระเวนและตั้งจุดเฝ้าระวังใหม่ในพื้นที่เสี่ยงสูง
วิเคราะห์เกมการทูตในภาวะร้อน
เหตุระเบิดเพียงครั้งเดียวไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุ แต่กำลังสะท้อน “แรงสั่นสะเทือนเชิงยุทธศาสตร์” ของภูมิภาค
1.ถ้อยแถลงร่วมที่เพิ่งลงนาม เมื่อ 26 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย : ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หลังจากช่วงรัฐบาลก่อนที่มีการเปิดเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ แต่ในเชิงกฎหมายยังเป็นเพียง “ปฏิญญาความร่วมมือ” ที่ไม่มีสถานะผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ จึงเปิดช่องให้การ “ระงับ” หรือ “ยกเลิกฝ่ายเดียว” ทำได้โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการสภา
2.แรงกดดันทางการเมืองภายใน : เหตุทหารไทยบาดเจ็บจากกับระเบิดทำให้ฝ่ายความมั่นคง และคนในสังคมไทยเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า “อ่อนข้อ” ต่อประเทศเพื่อนบ้าน นายอนุทิน จึงจำเป็นต้องเลือก “ท่าทีแข็งกร้าว” เพื่อรักษาฐานสนับสนุนทางการเมือง
3.ในมิติความมั่นคงภูมิภาค : การที่ไทยส่งสัญญาณ “ยุติถ้อยแถลงร่วม” สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อกลไกความร่วมมือชายแดน ทั้งด้านความมั่นคง การค้า และ แรงงาน ซึ่งมีมูลค่าการค้าชายแดนกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ-สุรินทร์-สระแก้ว ที่พึ่งพาการค้าชายแดนสูง
4.แรงสะท้อนต่อกัมพูชา : การถูกประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวา จะทำให้กัมพูชาเผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐ และ มาเลเซีย ที่ร่วมลงนามในถ้อยแถลง ซึ่งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลฮุน มาเนต ในเวทีระหว่างประเทศ
5.เกมยืดเยื้อรอคำตอบ : ขณะนี้ไทยยังไม่ใช้คำว่า “ยกเลิก” แต่ใช้คำว่า “ระงับ” เพื่อเปิดช่องให้สถานการณ์คลี่คลายหากกัมพูชาแสดงท่าทีเชิงบวก อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ายยังคงปฏิเสธหรืออ้างว่า “ทุ่นระเบิดเก่า” เหมือนถ้อยแถลงก่อนหน้า กระบวนการคว่ำบาตรทางความสัมพันธ์ ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค อาจเป็นขั้นตอนต่อไป
เดิมพันอธิปไตย-ศักดิ์ศรี
ในทางปฏิบัติ การ “ระงับปฏิญญา” หมายถึงการหยุดความร่วมมือในทุกด้าน ทั้งการส่งเชลยศึก การร่วมลาดตระเวน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วมกัน ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดนโดยตรง ทั้งการค้า การท่องเที่ยว และ แรงงาน
แต่ในมิติทางการเมือง การตัดสินใจครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณชัดว่า “รัฐบาลอนุทิน” เลือกยืนข้าง “อธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ” มากกว่าการประนีประนอม ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะทางการเมืองภายในประเทศที่ต้องการ “ภาพความเข้มแข็งของผู้นำ”
จุดเริ่มความไม่ไว้วางใจใหม่
เหตุการณ์ “ห้วยตามาเรีย” อาจเป็นเพียงจุดเล็กบนแผนที่ แต่สะท้อนรอยร้าวใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่กลับไปสู่ภาวะ “ไม่ไว้วางใจ” อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน การใช้คำว่า “ระงับ” แทน “ยกเลิก” ยังเป็นการเปิดช่องให้การทูตกลับมาได้ หากกัมพูชาแสดงท่าทีรับผิดชอบและร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่ถ้า “ไม่” ความสัมพันธ์สองประเทศอาจถอยกลับสู่จุด “ตึงเครียด” อีกครั้ง และอาจกลายเป็น “สมรภูมิทางการเมือง-การสงคราม” แห่งใหม่ในภูมิภาคอาเซียน ที่กำลังร้อนแรงขึ้นทุกวัน
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4148