KEY
POINTS
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดแถลงข่าวประจำวันเพื่ออัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากเหตุการณ์ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิด การแถลงในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปและยืนยันมติสำคัญที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยไทยได้ประกาศใช้มาตรการตอบโต้ที่ชัดเจน โดยมีมติให้ระงับการดำเนินการตามข้อตกลงทวิภาคีทันที
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่า มติดังกล่าวเกิดขึ้นจากข้อมูลที่กองทัพภาคที่ 2 และฝ่ายความมั่นคงได้เสนอ ให้ทราบว่ามีการลักลอบวางทุ่นระเบิดในเขตไทยโดยฝั่งกัมพูชา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 บริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นาย โดยหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
จากการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ไทยพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ในหลุมระเบิด รวมถึงพบจุดระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 21 จุดในบริเวณใกล้เคียง กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นจุดที่กองทัพกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามา จึงสรุปได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพของไทย และยังเป็นการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกัมพูชาเป็นรัฐภาคีอยู่ด้วย
ในการประชุม NSC ได้มีการเห็นพ้องกันว่า ไทยจะยึดมั่นและปฏิบัติตามถ้อยแถลงที่ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพราะเห็นว่าเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน แต่การกระทำล่าสุดของกัมพูชาสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการลดระดับความขัดแย้ง ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามข้อตกลงทวิภาคี รวมถึงการระงับการส่งตัวทหารกัมพูชา 18 คน ที่ไทยกำลังควบคุมตัวอยู่ในขณะนี้
สำหรับข้อเรียกร้องของไทยต่อกัมพูชา ฝ่ายไทยจะระงับการดำเนินการต่างๆ จนกว่ากัมพูชาจะแสดงความรับผิดชอบ และให้ความมั่นใจด้วยความจริงใจ โดยไทยเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ 3 เรื่องหลัก ได้แก่:
1. แสดงความเสียใจ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
2. ดำเนินการสอบสวน กรณีการลักลอบวางทุ่นระเบิดอย่างจริงจัง
3. ดำเนินการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
โดยการดำเนินการทั้ง 3 ข้อนี้จะต้องมีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ในระยะนี้ ฝ่ายไทยจะติดตามและประเมินท่าทีการตอบสนองของกัมพูชาก่อนที่จะพิจารณามาตรการอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
แม้ว่าจะมีการระงับข้อตกลงทวิภาคี แต่การดำเนินการที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทยและดำเนินการได้โดยฝ่ายเดียวจะยังคงดำเนินต่อไป เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และการปราบปรามแก๊งค์หลอกลวงออนไลน์
ส่วนในด้านการทูต กระทรวงการต่างประเทศได้ทำการเคลื่อนไหวแล้วในหลายระดับ โดยในระดับทวิภาคี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ไปยังรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อทำการประท้วงในเบื้องต้น 2 ครั้ง และกำลังวางแผนที่จะยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสถานทูตกัมพูชาประจำไทย
ในระดับพหุภาคี ไทยจะดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการส่งหนังสือถึงประธานรัฐสภาเกี่ยวกับอนุสัญญาออตตาวา และส่งหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งทั้งสองประเทศมีบทบาทในการสังเกตการณ์การลงนามในถ้อยแถลงที่ผ่านมา นอกจากนี้จะมีการส่งหนังสือดังกล่าวให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบด้วย
ในวันพรุ่งนี้ (12 พ.ย. 2568) กระทรวงการต่างประเทศจะจัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศที่ประจำในประเทศไทยทั้งหมด เพื่อชี้แจงท่าทีของไทยต่อเหตุการณ์นี้ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานทูตไทยทั่วโลกใช้ข้อมูลนี้ในการชี้แจงกับประเทศเจ้าบ้าน เพื่อให้ท่าทีของไทยเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั่วโลก ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงก็จะทำการชี้แจงผ่านคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนอย่างเต็มที่
ล่าสุด นอกจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมเยียนทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ และรับฟังข้อมูลสถานการณ์ในพื้นที่ โดยประเทศไทยยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน และเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างจริงจังและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต