KEY
POINTS
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากลับมามีความตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากที่มีรายงานว่าทหารไทย 4 นายได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ติดชายแดน ซึ่งทำให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต้องสั่งการ “ระงับการดำเนินการตามปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา” ที่เพิ่งมีการลงนามไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นสักขีพยานในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47
ล่าสุด อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เปิดเผยว่า เขาได้มอบหมายให้พลเอกนิซัม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เริ่มต้นการเจรจารอบใหม่ เพื่อฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพที่หยุดชะงักจากเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว โดยยืนยันว่าการระงับของฝ่ายไทยเกิดจากความไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับทหารกัมพูชาหรือไม่
อันวาร์เน้นย้ำว่าอนุทินไม่ได้มีเจตนาตอบโต้หรือโจมตีประเทศกัมพูชา แต่ต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะเดินหน้าต่อกับข้อตกลง นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการประสานงานกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยหลายคน รวมถึง เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และอนุทิน ซึ่งส่งผลให้มีการลงนามในปฏิญญานี้ โดยมีมาเลเซียเป็นผู้กลางในการเจรจา
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวเสริมว่าข้อตกลงเดิมนั้นได้กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากพื้นที่ชายแดนและร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิด ซึ่งยังคงดำเนินการอยู่ แต่เหตุการณ์ล่าสุดได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยหลายคน และทำให้เกิดคำถามว่า “ข้อตกลงนี้ถูกละเมิดหรือไม่” อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงอย่างเต็มที่
ทางด้านอันวาร์ยังได้ตอบโต้เสียงวิจารณ์จาก พล.อ. รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ ททบ.5 ที่ออกมากล่าวหาว่าปฏิญญาสันติภาพนี้เปิดทางให้สหรัฐฯ แทรกแซงเศรษฐกิจไทยและสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยนายอันวาร์ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างชัดเจน พร้อมย้ำว่าความขัดแย้งไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย และสิ่งที่สำคัญในเวลานี้คือ “การสวดภาวนาเพื่อสันติภาพ”
“ผมไม่สนว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ การโจมตีว่านายกรัฐมนตรีล้มเหลวไม่ช่วยอะไร ผมขอเลือกที่จะภาวนาเพื่อสันติภาพดีกว่า เพราะหากเกิดความขัดแย้งขึ้น มันก็ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน” อันวาร์กล่าว พร้อมทั้งเน้นว่า แม้ว่าหลายคนในกัมพูชาจะมีมุมมองว่าไทยเป็นผู้รุกราน ในขณะที่คนไทยบางกลุ่มก็เชื่อว่ากัมพูชาละเมิดหลักการ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้มาเลเซียมีความจำเป็นในการทำหน้าที่เป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย” เพื่อให้ภูมิภาคกลับมาอยู่ในสภาพที่สงบสุขโดยเร็วที่สุด
อ้างอิง: Malaysiakini