ปชป. ลุยศึกเลือกตั้ง 2566 ชู ประกันรายได้ข้าว "เกี่ยวปั๊บรับ 3 หมื่น"

14 ม.ค. 2566 | 01:06 น.

"ประชาธิปัตย์" ประกาศลุยศึกเลือกตั้ง 2566 เดินหน้านโยบายประกันรายได้ข้าวต่อเนื่อง ชูจุดขาย "เกี่ยวปั๊บรับ 3 หมื่น"

นโยบายโครงการประกันรายได้ข้าว กลายเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำมาใช้เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งในรอบนี้ ฐานเศรษฐกิจ พาไปชำแหละนโยบายนี้กันว่า ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำร่วมรัฐบาลนั้น นโยบายนี้ใช้เงินไปแล้วเท่าไร และช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไปได้มากน้อยแค่ไหน

สำหรับโครงการประกันรายได้ข้าวซึ่งเกษตรกรชาวนานั้น เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ โดยรัฐบาลในขณะนั้นกำหนดราคาประกันรายได้ข้าวเอาไว้ หากราคาข้าวในตลาดต่ำกว่าราคาเป้าหมาย รัฐจะจ่ายส่วนต่างให้กับชาวนา

ข้อดีของโครงการนี้ คือ รัฐไม่ต้องเก็บข้าวไว้เหมือนกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีการผลิต 2552/53 และปีการผลิต 2553/54 รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ จ่ายเงินส่วนต่างให้ชาวนาไปรวม 1.15 แสนล้าน แบ่งเป็น

ปีแรก จำนวน 4 หมื่นล้านบาท

ปีที่สองอีกจำนวน 7 หมื่นล้านบาท

กระทั่งในปี 2562 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งนำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งได้นำโครงการประกันรายได้ชาวนากลับมาใหม่

นับตั้งแต่ฤดูกาลผลิตข้าว ปีการผลิต 2562/63 จนถึงปีการผลิต 2564/65 รัฐบาลอนุมัติจัดสรรงบอุดหนุนชาวนาโดยตรง ผ่านโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการสนับสนุนต้นทุนฯ รวมแล้ว 321,245 ล้านบาท ดังนี้ 

  • ปีการผลิต 2562/63 รัฐอนุมัติงบอุดหนุนทั้ง 2 โครงการ รวม 76,049 ล้านบาท
  • ปีการผลิต 2563/64 รัฐอนุมัติงบอุดหนุนทั้ง 2 โครงการ รวม 106,740 ล้านบาท
  • ปีการผลิต 2564/65 รัฐอนุมัติงบอุดหนุนทั้ง 2 โครงการ รวม 138,456 ล้านบาท

ทั้งนี้ ไม่นับรวมกับมาตรการคู่ขนานอื่น ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาต่อเนื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือค่าบริหารจัดการข้าวฯไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่, สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก, สินเชื่อรวบรวมข้าวเปลือก และการชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสีเก็บข้าว เป็นต้น 


การประกาศนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์รอบนี้ ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมเดินหน้าลุยนโยบาย "เกี่ยวปั๊บรับ 3 หมื่น" สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีอยู่ประมาณ 4.7 - 4.8 ล้านครัวเรือนซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญในการหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งในครั้งนี้