KEY
POINTS
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี กลายเป็นแรงกดดันซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะภาคส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทสวนทางประเทศคู่แข่ง ทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นทันทีในตลาดโลก กระทบความสามารถในการแข่งขันและรายได้ผู้ประกอบการ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของค่าเงินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งราคาล่วงหน้า ฉุดความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและการลงทุนในระยะถัดไป
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี แตะที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ว่า คำสั่งซื้อสินค้า(ออร์เดอร์) จากต่างประเทศในเวลานี้ ส่วนใหญ่จบลงไปแล้ว เหลือแต่การส่งมอบสินค้าที่จะต้องเร่งทำให้เสร็จภายในสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ อย่างไรช่วงนี้ที่จะกระทบก็คือ คนที่ขายสินค้าไปแล้ว และกำลังรับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าที่ต้องแปลงเป็นเงินบาท จะได้รับเงินน้อยลง โดยที่จะกระทบมากอยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบในประเทศ และไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน เนื่องจากเป็นภาระด้านต้นทุน ดังนั้นจึงต้องแบกรับความเสี่ยงค่าเงินเอาเอง
“ออเดอร์ใหม่บางส่วนที่มา ส่วนใหญ่จะจบจริง ๆ ในสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นสัปดาห์สุดท้ายแล้วของปีนี้ ซึ่งต้องเร่งสรุปกัน ส่วนผลกระทบเงินบาทแข็งค่าจะกระทบอีกทีก็ตอนเปิดปีใหม่มา ถ้าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่ ผลต่อภาคการส่งออกก็จะยังคงมีต่อเนื่อง เพราะขายของไปแล้วจะได้รับเงินน้อยลงแน่นอน”
อย่างไรก็ตามจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้สินค้าไทยแพงขึ้น จะมีผลต่อคู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อหรือไม่เรื่องนี้มองว่า คงไม่ชะลอ เพราะลูกค้ายังซื้อสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐเท่าเดิม แต่ในส่วนของผู้ส่งออกที่ต้องคิดหนักคือ หากขายสินค้าราคาเท่าเดิมก็จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นส่วนใหญ่จะเลือกวิธีขอปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งต้องต่อรองกัน
“มีบางคนตั้งคำถามว่า เมื่อบาทแข็งค่า หลังจากที่ผู้ส่งออกได้รับเงินจากลูกค้าแล้วในรูปดอลลาร์สหรัฐมาแล้ว จะมีการพักเงินไว้ในต่างประเทศก่อนหรือไม่ เพื่อรอเวลาแลกเป็นเงินบาทในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าลง ในเรื่องนี้ภาครัฐของไทยก็ให้เก็บพักรอได้ ณ เวลาหนึ่ง ก่อนที่จะแปลงกลับมาเป็นเงินบาทได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพักรอกัน เพราะมีความจำเป็นต้องนำเงินนั้นมาหมุนเวียน ทั้งจ่ายเรื่องให้ซัพพลายเออร์ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ แพ็กเกจจิ้ง หรือว่านำไปชำระหนี้ธนาคาร ซึ่งรอได้ยาก อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลดีต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ เครื่องจักรอุปกรณ์ และส่วนประกอบ ส่วนผสมต่าง ๆ ซึ่งคงต้องอาศัยจังหวะนี้ ในการที่จะชำระเงินค่าเครื่องจักรด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกลง”นายวิศิษฐ์ กล่าว
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า จากเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งหากเงินบาทยังแข็งค่าระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐหรือแข็งค่าจากต้นปี 2568 กว่า 9% คาดในปี 2569 จะส่งผลกระทบทำให้การส่งออกไทยลดลงไป 6.5% หรือมูลค่า 20,663 ล้านดอลลาร์ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.6 แสนล้านบาท และนำเข้าเพิ่ม 4.9% มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.8 แสนล้านนาท (คำนวณค่าเงินบาท แข็ง 1% จะทำให้ส่งออกลดลง 0.8% และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.6%)
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่ามากในครั้งนี้ มาจากหลายปัจจัย ที่สำคัญได้แก่ 1.ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เพราะ ปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ลดดอกเบี้ยไป 3 ครั้ง รวมลดไป 0.75% เหลือดอกเบี้ยนโยบาย 3.50–3.75% ทำให้ดอลลาร์อ่อนไป 6% (วัดจาก US Dollar Index คือดัชนีที่วัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับ ตะกร้า 6 สกุลเงินหลัก) 2.เงินทุนไหลเข้า ทั้งเงินทุนปกติ และเงินทุนสีเทาเข้าประเทศไทย
“ในเรื่องบาทแข็งค่ามาก ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามาตรวจสอบว่า เงินทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยมาจากอะไร มาจากสแกมเมอร์ หรือทุนสีเทา และสาเหตุจริงมาจากอะไร และต้องเข้าไปกำกับดูแลไม่ให้เงินค่าเงินบาทผันผวน โดยควรให้อยูที่ระดับ 33-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ดี กรณีที่ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดอีก 0.25% เหลือ 1.25% จะช่วยชะลอแรงแข็งค่าของเงินบาทได้ในระยะสั้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทิศทางดอลลาร์อ่อนจากทิศทางดอกเบี้ยโลก และเข้าที่ไหลเข้ามาในประเทศไทย ยังไม่สามารถทราบแหล่งที่มา”
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าซ้ำเติมการส่งออกข้าวไทยอย่างรุนแรงในปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยมีผลทำให้ข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งทันทีราว 10% สวนทางกับอินเดียและเวียดนามที่เป็นคู่แข่งส่งออกข้าวไทยรายสำคัญที่เงินอ่อนค่า ส่งผลให้ราคา FOB ข้าวไทยสูง ลูกค้าหันไปซื้อจากประเทศคู่แข่ง ออร์เดอร์ใหม่ปีหน้าเวลานี้แทบหยุดนิ่ง ทั้งนี้ผู้ส่งออกที่ส่งมอบสินค้าไปแล้วขาดทุนหนักจากอัตราแลกเปลี่ยน
“ปี 2569 ทางสมาคมฯยังไม่กล้าตั้งเป้าส่งออก จากปีนี้คาดจะส่งออกได้ 7.7-7.8 ล้านตัน และมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากผลผลิตข้าวคร็อปใหญ่ของอินเดียและเวียดนามกำลังออกมา ซึ่งจะกดราคาตลาดโลก โดยเวลานี้ข้าวขาวไทยแพงกว่าอินเดียราว 50 ดอลลาร์ต่อตัน ทั้งที่คุณภาพใกล้เคียงกัน สาเหตุหลักมาจากค่าเงินล้วน ๆ หากเงินบาทยังแข็ง ความสามารถแข่งขันจะหาย และแรงกระแทกสุดท้ายจะตกถึงชาวนา ผ่านราคาข้าวในประเทศที่ถูกกดลง ดังนั้นจึงขอเรียกร้องธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งดูแลค่าเงินบาทและปรับกติกาให้ทันสถานการณ์ ก่อนที่ไทยจะเสียตลาดส่งออกข้าวอย่างถาวร” นายเจริญ กล่าว
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากค่าเงินบาทผันผวน จากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยเสียเปรียบ เมื่อเทียบค่าเงินของคู่แข่งและจุดหมายปลายทางอื่น ซึ่งความผันผวนของค่าเงินส่งผลกระทบต่อการวางแผนการใช้จ่าย และการเลือกจุดหมายการเดินทาง
ในส่วนของการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทย โดยในปลายปี 2568 คนไทยเดินทางเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม และจีน ซึ่งมีการค้นหา “ที่เที่ยว” ผ่าน Google Trends เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 80% (ระหว่างวันที่ 10-24 พ.ย. 68) เนื่องจากค่าตั๋วต่างประเทศถูกลง มีเที่ยวบินมากขึ้น ค่าเงินแข็งค่ามากในบางช่วง ทำให้มีการแข่งขันดึงคนไทยไปเที่ยวจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เวียดนาม จีน
ด้าน นายธนพล ชีวรัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เอ็กซ์เพลส จำกัด เปิดเผยว่า จากเงินบาทที่แข็งค่า เป็นปัจจัยที่ทำให้คนไทยเที่ยวต่างประเทศรับอานิสงส์เต็ม ๆ แม้ว่าในแง่ของ “ราคาแพ็กเกจทัวร์” อาจจะไม่ได้ปรับลดลงโดยตรง เนื่องจากราคาจะมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ความรู้สึก” ของนักท่องเที่ยวที่รู้สึกว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ถูกลง นักท่องเที่ยวจะรู้สึกว่าตนเอง “ได้เปรียบ” เพราะสามารถแลกเงินตราต่างประเทศได้ในจำนวนที่มากขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อและช้อปปิ้งได้มากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยในปัจจุบัน ประเทศจีน ถือเป็นอันดับ 1 ที่คนไทยนิยมไปมากที่สุดในขณะนี้ โดยคาดการณ์ว่า ยอดนักท่องเที่ยวไทยไปจีนจะเพิ่มขึ้นกว่า 20% เนื่องจากจีนมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบรรยากาศในช่วงฤดูหนาวที่ดึงดูดใจ ยุโรป เป็นอันดับ 2 ของจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยม โดยเฉพาะในช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่สำคัญที่คนไทยนิยมไปสัมผัสอากาศหนาวและช้อปปิ้ง
ขณะที่ในภูมิภาคเอเชีย จัดอยู่เป็นอันดับ 3 ที่คนไทยไปเที่ยว อาทิ เวียดนาม ,ญี่ปุ่น โดยมีปัจจัยเงินเยนอ่อนค่าเป็นแรงสนับสนุน แม้ว่ากระแสการเดินทางจะน้อยกว่าจีนที่มาแรงกว่าในช่วงนี้ แต่คนไทยก็ยังเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเทศกาล อย่างฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เทศกาลหิมะ
ในด้านตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย (Inbound) บาทแข็ง มีผลกระทบทางจิตวิทยาในระยะสั้น ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยนั้น ในระยะสั้นยัง “ไม่ได้รับกระทบที่รุนแรงมากนัก” ในแง่ของจำนวนคน เนื่องจากผู้ประกอบการไทยยังไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” เช่นเดียวกับฝั่งคนไทย คือนักท่องเที่ยวจะรู้สึกว่า แลกเงินไทยได้น้อยลง ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยในสายตาคนต่างชาติ “ดูแพงขึ้นเล็กน้อย”
ข้อกังวลและข้อเสนอแนะต่อความยั่งยืนของการท่องเที่ยว แม้ว่าในระยะสั้นการแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่ส่งผลให้คนต่างชาติไม่อยากมาเที่ยวไทย แต่หาก เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานเกินไป จะส่งผลเสียต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในฐานะ Destination การท่องเที่ยว และจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มประสบปัญหาอย่างจริงจัง ดังนั้น สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในแหล่งข้อมูลให้ความสำคัญคือ การดูแลให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและคงที่ ไม่ควรปล่อยให้แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทบต่อโครงสร้างราคาและความรู้สึกของนักท่องเที่ยวในระยะยาว
อย่างไรก็ตามในปีนี้แม้คนไทยจะเดินทางไปเที่ยวจีนเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะนี้ญี่ปุ่นเริ่มกลับมาเป็นตลาดที่คนไทยสนใจเพิ่มขึ้นหากเทียบกับก่อนหน้านี้ เนื่องจากขณะนี้เงินเยนอ่อนค่า 100 เยนแลกได้อยู่ที่ 19-20 บาท ประกอบกับคนจีนไปเที่ยวญี่ปุ่นลดลง จากความสัมพันธ์จีน–ญี่ปุ่นที่มีปัญหา ทำให้ค่าที่พักในญี่ปุ่นมีราคาถูกลงกว่าช่วงก่อนหน้านี้ โดยสมาคมการท่องเที่ยวเมืองเกียวโต เผยว่า ค่าที่พักเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ราว 20,000 เยนต่อคืน แต่ปัจจุบันพบที่พักราคาต่ำกว่า 10,000 เยนจำนวนมาก บางแห่งลดเหลือเพียง 5,000–6,000 เยนต่อคืน สาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้มีห้องพักว่างจำนวนมาก โรงแรมจึงต้องปรับลดราคาเพื่อดึงลูกค้า หลังการยกเลิกการจองเริ่มเห็นชัดตั้งแต่ราวเดือนพฤศจิกายน
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม ค่าเงินบาทแข็งค่าแล้ว 9.1% มาอยู่ที่ระดับ 31.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง และแข็งค่าเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากเงินริงกิตมาเลเซีย
ปัจจัยหลักที่หนุนเงินบาทแข็งค่า ได้แก่ 1) ธีมดอลลาร์อ่อนค่า 2) ราคาทองคำโลกที่ปรับขึ้นแรง และ 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุล โดยในช่วงปีนี้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงถึง 9.1% จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยในช่วงต้นปี และความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งหลังของปี
ด้านราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง โดย Spot Gold เพิ่มขึ้นกว่า 67% ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าตาม สะท้อนจากความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างเงินบาทกับทองคำที่อยู่ในระดับ-0.80
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เป็นผลจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่หนุนค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเงินบาทที่แข็งค่ามากที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ ส่งผลกระทบต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เพราะทำให้ต้องซื้อแพงขึ้น โดยต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกซื้อ ส่งผลให้บางรายชะลอการตัดสินใจ แต่ตลาดระดับบนอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก และอาจมีกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนดันตลาดในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของกำลังซื้อต่างชาติท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวไปทั่วโลกมองว่าอาจมีผลต่อกำลังซื้อที่ลดลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะจีน