7 ต.ค. “วันมะเร็งเต้านมสากล” World Breast Cancer Day โรคนี้ป้องกันได้ รักษาได้

06 ต.ค. 2566 | 23:07 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2566 | 23:48 น.

7 ตุลาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันมะเร็งเต้านมสากล” (World Breast Cancer Day) ข้อมูลของสาธารณสุขในปีที่ผ่านมาพบว่า สำหรับสตรีไทยนี่คือมะเร็งที่พบมากที่สุด เรามาทำความรู้จักโรคมะเร็งเต้านมกันให้มากขึ้น เพราะโรคนี้ ป้องกันได้และรักษาหายได้

 

7 ตุลาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันมะเร็งเต้านมสากล” หรือ World Breast Cancer Day เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเต้านมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากตรวจพบ มะเร็งเต้านม ได้เร็ว ก็มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้

ป้องกันแต่เนิ่นๆ ตรวจพบไว รักษาได้

สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งของไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ปี 2565 พบว่า หญิงไทยเป็นมะเร็งเต้านมมากที่สุด จำนวน 38,559 ราย รองลงมา คือมะเร็งปากมดลูก จำนวน 12,956 ราย

โรคมะเร็งเต้านมส่วนมาก พบในหญิงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มากที่สุดจำนวน 19,776 ราย รองลงมา คือ อายุ 50 – 59 ปี จำนวน 12,181 ราย และ อายุ 40 – 49 ปี จำนวน 5,177 ราย แสดงให้เห็นว่า โรคมะเร็งเต้านมเป็นภัยเงียบใกล้ตัว เนื่องจากในระยะแรกของการเป็นมะเร็งเต้านมจะไม่แสดงอาการ ไม่เจ็บ ไม่ปวด

มักจะปรากฏอาการผิดปกติให้เห็นเมื่ออยู่ในระยะที่ก้อนมะเร็งมีการอักเสบและลุกลามไปทั่วแล้ว ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก

ป้องกันแต่เนิ่นๆ ตรวจพบไว รักษาได้

กลุ่มเสี่ยงมะเร็งเต้านม

พบในหญิงที่มีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน หรือเคยมีก้อนบริเวณเต้านม ที่ผลการตรวจพบว่าผิดปกติ มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี หรือเคยรับการฉายรังสีบริเวณทรวงอกก่อนอายุ 30 ปี รวมทั้งผู้หญิงที่สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย

นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ที่มีอายุ 15 – 49 ปี ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม จะมีโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ในขณะที่ “ผู้ชาย” ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน โดย 1 ใน 100 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอาจเป็นผู้ชาย

ควรตรวจสุขภาพเต้านมด้วยตัวเอง เป็นประจำทุกเดือน

กรมอนามัยจึงแนะนำให้หญิงไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มฝึกทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นประจำทุกเดือน ซึ่งจะทำให้รู้ถึงสภาพที่เป็นปกติของเต้านม และหากเกิดความผิดปกติของเต้านม ก็จะสามารถพบได้ ตั้งแต่เนิ่นๆ

ทั้งนี้ การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือน สามารถดูด้วยตา และคลำด้วยมือ

7 ตุลาคม วันมะเร็งเต้านมสากล

การคลำมี 3 วิธี จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ แต่ต้องให้มั่นใจว่าครอบคลุมเนื้อเต้านมทั้งหมด ทั้งขอบด้านล่างเสื้อชั้นใน บริเวณหัวนม บริเวณใต้รักแร้ และไหปลาร้า อย่ายกนิ้วขึ้นจากเต้านมขณะคลำ

  1. การคลำในแนวขึ้นลง จากบริเวณกระดูกไหปลาร้าจนถึงด้านล่างของทรวงอก โดยคลำจากใต้รักแร้ หรือตำแหน่งใต้แขนจนถึงฐานของเต้านม แล้วขยับนิ้วทั้งสามคลำในแนวขึ้นลง และสลับกันไปเรื่อย ๆ ให้ทั่วทั้งเต้านม
  2. การคลำแบบแนวก้นหอย เริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมบริเวณลานหัวนมไปตามแนวก้นหอย จนกระทั่งถึงฐานเต้านม ครอบคลุมถึงบริเวณรักแร้ และไหปลาร้า
  3. การคลำแบบแนวรูปลิ่ม เริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมบริเวณลานหัวนมจนถึงฐานแล้วกลับขึ้นสู่ยอด อย่างนี้เรื่อย ๆ ให้ทั่วทั้งเต้านม ครอบคลุมถึงบริเวณรักแร้ และไหปลาร้า

นอกจากนี้ ควรคลำเต้านมโดยใช้ 3 นิ้ว 3 สัมผัส (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) และ กด 3 ระดับความหนัก-เบา ดังนี้

  • กดเบา ให้รู้สึกถึงบริเวณใต้ผิวหนัง
  • กดปานปลาง ให้รู้สึกถึงบริเวณกึ่งกลางเนื้อนม
  • กดหนัก ให้รู้สึกถึงเนื้อนมใกล้กระดูกอก

หากคลำพบก้อนที่โตระยะขนาด 2 – 5 เซนติเมตร อัตราการรอดชีวิตมีถึง ร้อยละ 75 – 90 แต่หากคลำพบก้อนขนาด 5 เซนติเมตรขึ้นไป อัตราการรอดมีเพียงร้อยละ 15 – 30 เท่านั้น

อาการมะเร็งเต้านมที่สังเกตได้ด้วยตา

ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมส่วนมากจะไปพบแพทย์ด้วยปัญหาการคลำพบก้อนที่เต้านม แต่เรายังสามารถสังเกตอาการอื่นๆที่เห็นได้ด้วยตา และหากสังเกตพบ ก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณหน้าอก เช่น มีรอยบุ๋ม ผิวย่น ผิวหดตัว หรือหนาผิดปกติคล้ายเปลือกส้ม หรือเกิดเป็นสะเก็ด ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของหัวนม เช่น มีการหดตัว คันหรือแดงผิดปกติ เลือดออกทางหัวนม อาการเจ็บเต้านม หรือมีก้อนที่รักแร้ เป็นต้น

ในการตรวจดูสุขภาพเต้านมด้วยสายตานั้น ให้ยืนหน้ากระจกเงา ปล่อยแขนแนบลําตัวทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยท่ายกมือ ท่าเท้าสะเอว และท่ายกมือทั้ง 2 ข้างไว้เหนือศีรษะ แต่ละท่าควรสังเกตดูสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้

  • หัวนม ตําแหน่งของหัวนมควรอยู่ในระดับเดียวกัน สีผิวของหัวนมเหมือนกัน รูปร่างคล้ายกัน หัวนมไม่ถูกดึงรั้งให้บุ๋มลง หรือเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ควรมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกจากหัวนม ไม่ควรมีแผลผิวถลอก หรือแผลจากก้อนนูนแตกออกมาที่ผิว
  • ปานนม ควรมีผิวเนียนและสีเสมอกัน ไม่ควรมีรอยนูนจากก้อนมะเร็งดันผิวขึ้นมา หรือรอยบุ๋มจากก้อนมะเร็งดึงรั้งลงไป ไม่ควรมีแผลผิวถลอก หรือแผลจากก้อนนูนแตกออกมาที่ผิว
  • ผิวเต้านม ควรมีผิวเนียน สีผิวเสมอกัน ไม่ควรมีลักษณะผิวบวมหนา รูขุมขนใหญ่เป็นลักษณะเหมือนผิวส้ม ไม่ควรมีรอยนูนหรือรอยบุ๋มจากการดึงรั้งของก้อนมะเร็ง ไม่ควรมีสีผิวแดงคล้ำ ผิวตึงบางจากการที่ก้อนมะเร็งรุกรานเข้าไปใต้ผิวหนัง ไม่ควรมีรอยแผลแตกทะลุที่ผิวหนังพร้อมกับมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกมา
  • ระดับและขนาดของเต้านม ทั้ง 2 ข้างควรอยู่ระดับเดียวกัน มีขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกัน ไม่ควรมีการดึงรั้งขึ้น หรือห้อยลงมาผิดปกติจากการมีก้อนมะเร็ง

ระยะของมะเร็งเต้านม

พัฒนาการของมะเร็งเต้านม แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ

  • ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 ซม. ยังไม่มีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
  • ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 ซม. และ/หรือมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน
  • ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันอย่างมาก จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองเหล่านั้นมารวมติดกันเป็นก้อนใหญ่ หรือติดแน่นกับอวัยวะข้างเดียว
  • ระยะที่ 4 ก้อนมะเร็งมีขนาดโตเท่าไหร่ก็ได้ แต่พบว่ามีการแพร่กระจายไปส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ไกลออกไป เช่น กระดูก ปอด ตับ หรือสมอง เป็นต้น

ส่วนมะเร็งเต้านมในระยะที่ยังไม่ลุกลาม ทางการแพทย์เรียกว่า Carcinoma in situ หรือระยะที่ 0 โดยมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยจะสามารถมีอัตราการอยู่รอดเกิน 5 ปี สูงถึง 70-90%

วิธีการบำบัดรักษา

วิธีการรักษามะเร็งเต้านมที่ได้ผลดีและเป็นที่ยอมรับมี 5 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยการผ่าตัด การฉายแสง(รังสีรักษา) การให้ยาต้านฮอร์โมน การให้ยาเคมีบำบัด และการรักษาด้วยยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะ ทั้งนี้ แพทย์อาจเลือกการรักษาแต่ละอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ที่เป็นเป็นหลัก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข/คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี/และโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์