7 ตุลาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันมะเร็งเต้านมสากล” หรือ World Breast Cancer Day เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเต้านมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากตรวจพบ มะเร็งเต้านม ได้เร็ว ก็มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้
สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งของไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ปี 2565 พบว่า หญิงไทยเป็นมะเร็งเต้านมมากที่สุด จำนวน 38,559 ราย รองลงมา คือมะเร็งปากมดลูก จำนวน 12,956 ราย
โรคมะเร็งเต้านมส่วนมาก พบในหญิงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มากที่สุดจำนวน 19,776 ราย รองลงมา คือ อายุ 50 – 59 ปี จำนวน 12,181 ราย และ อายุ 40 – 49 ปี จำนวน 5,177 ราย แสดงให้เห็นว่า โรคมะเร็งเต้านมเป็นภัยเงียบใกล้ตัว เนื่องจากในระยะแรกของการเป็นมะเร็งเต้านมจะไม่แสดงอาการ ไม่เจ็บ ไม่ปวด
มักจะปรากฏอาการผิดปกติให้เห็นเมื่ออยู่ในระยะที่ก้อนมะเร็งมีการอักเสบและลุกลามไปทั่วแล้ว ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก
พบในหญิงที่มีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน หรือเคยมีก้อนบริเวณเต้านม ที่ผลการตรวจพบว่าผิดปกติ มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี หรือเคยรับการฉายรังสีบริเวณทรวงอกก่อนอายุ 30 ปี รวมทั้งผู้หญิงที่สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ที่มีอายุ 15 – 49 ปี ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม จะมีโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ในขณะที่ “ผู้ชาย” ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน โดย 1 ใน 100 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอาจเป็นผู้ชาย
กรมอนามัยจึงแนะนำให้หญิงไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มฝึกทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นประจำทุกเดือน ซึ่งจะทำให้รู้ถึงสภาพที่เป็นปกติของเต้านม และหากเกิดความผิดปกติของเต้านม ก็จะสามารถพบได้ ตั้งแต่เนิ่นๆ
ทั้งนี้ การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือน สามารถดูด้วยตา และคลำด้วยมือ
การคลำมี 3 วิธี จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ แต่ต้องให้มั่นใจว่าครอบคลุมเนื้อเต้านมทั้งหมด ทั้งขอบด้านล่างเสื้อชั้นใน บริเวณหัวนม บริเวณใต้รักแร้ และไหปลาร้า อย่ายกนิ้วขึ้นจากเต้านมขณะคลำ
นอกจากนี้ ควรคลำเต้านมโดยใช้ 3 นิ้ว 3 สัมผัส (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) และ กด 3 ระดับความหนัก-เบา ดังนี้
หากคลำพบก้อนที่โตระยะขนาด 2 – 5 เซนติเมตร อัตราการรอดชีวิตมีถึง ร้อยละ 75 – 90 แต่หากคลำพบก้อนขนาด 5 เซนติเมตรขึ้นไป อัตราการรอดมีเพียงร้อยละ 15 – 30 เท่านั้น
ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมส่วนมากจะไปพบแพทย์ด้วยปัญหาการคลำพบก้อนที่เต้านม แต่เรายังสามารถสังเกตอาการอื่นๆที่เห็นได้ด้วยตา และหากสังเกตพบ ก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณหน้าอก เช่น มีรอยบุ๋ม ผิวย่น ผิวหดตัว หรือหนาผิดปกติคล้ายเปลือกส้ม หรือเกิดเป็นสะเก็ด ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของหัวนม เช่น มีการหดตัว คันหรือแดงผิดปกติ เลือดออกทางหัวนม อาการเจ็บเต้านม หรือมีก้อนที่รักแร้ เป็นต้น
ในการตรวจดูสุขภาพเต้านมด้วยสายตานั้น ให้ยืนหน้ากระจกเงา ปล่อยแขนแนบลําตัวทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยท่ายกมือ ท่าเท้าสะเอว และท่ายกมือทั้ง 2 ข้างไว้เหนือศีรษะ แต่ละท่าควรสังเกตดูสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
พัฒนาการของมะเร็งเต้านม แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ
ส่วนมะเร็งเต้านมในระยะที่ยังไม่ลุกลาม ทางการแพทย์เรียกว่า Carcinoma in situ หรือระยะที่ 0 โดยมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยจะสามารถมีอัตราการอยู่รอดเกิน 5 ปี สูงถึง 70-90%
วิธีการรักษามะเร็งเต้านมที่ได้ผลดีและเป็นที่ยอมรับมี 5 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยการผ่าตัด การฉายแสง(รังสีรักษา) การให้ยาต้านฮอร์โมน การให้ยาเคมีบำบัด และการรักษาด้วยยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะ ทั้งนี้ แพทย์อาจเลือกการรักษาแต่ละอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ที่เป็นเป็นหลัก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข/คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี/และโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์