เปิดวิธีป้องกัน"โรคลมแดด" อันตรายถึงตาย เช็คที่นี่

30 มี.ค. 2566 | 06:16 น.

เปิดวิธีป้องกัน"โรคลมแดด" อันตรายถึงตาย เช็คที่นี่มีคำตอบ เตือนคนทำงานกลางแจ้งเสี่ยง แนะหากมีสัญญาณเตือน เพลียหน้ามืด เริ่มเป็นตะคริว ควรหยุดงานพาหลบแดดเข้าที่ร่มทันที

โรคลมแดดหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) กำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ หลังจากที่ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อน โดยที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือ วิธีการป้องกัน "โรคลมแดด" สามารถทำอย่างไรได้บ้าง

จากการตรวตสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงวิธีป้องกันโรคลมแดดพบว่า 

นายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้ระบุถึงการป้องกันโรคลมแดด ประกอบด้วย 

  • พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด  
  • ดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้าน 
  • พยายามดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร 
  • สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย สีอ่อน ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดรูป 
  • สวมแว่นกันแดด กางร่ม ทาโลชั่นกันแดด 
  • เลือกออกกำลังกายการช่วงเช้าหรือเย็น 
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 

 

อย่างไรก็ดี หากพบเห็นผู้เป็นลมแดดให้รีบนำเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นน้ำแข็งประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบร่วมกับใช้พัดลมเป่าเพื่อระบายความร้อนและลดอุณหภูมิร่างกายให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่สุด

เปิดวิธีป้องกันโรคลมแดดอันตรายถึงตาย หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว 

นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อน และมีอากาศร้อนจัด บางพื้นที่อุณหภูมิสูงสุดอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ประชาชนอาจเป็น "โรคลมแดด" ได้ 

คนทำงานกลางแจ้งที่เสี่ยงต่อโรคลมแดด เช่น กรรมกรก่อสร้าง  เกษตรกร ทหาร นักกีฬา เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี  ผู้สูงอายุ  ผู้ที่มีโรคประจำตัว  เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ  คนอ้วน  ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ซึ่งโรคจากความร้อนมีอาการหลายอย่างตามลำดับขั้นของอุณหภูมิที่สูงขึ้น เช่น การมีผื่นขึ้นตามตัว ตัวบวม อาการอ่อนเพลีย หรือที่เรียกว่าเพลียแดด เป็นตะคริว คลื่นไส้อาเจียน ตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส  ปวดศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว ชัก มึนงง หน้ามืด  หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีอาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้