จ่อยกเลิก "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" 1 ต.ค.นี้ เล็งใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อฯคุมแทน

19 ส.ค. 2565 | 03:52 น.

จ่อยกเลิก "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" 1 ต.ค.นี้ รอ ศบค.ชุดใหญ่เคาะ เล็งใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อฯคุมแทน ส่วนศบค.หายไปตามกฏหมาย พร้อมเตรียมแผนเรื่องยา-วัคซีน ย้ำประชาชนไม่ติดดีที่สุด

วันที่ 19 ส.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวก่อนการประชุมศบค.ชุดใหญ่ ถึงการพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังในวันที่ 1 ต.ค. จะต้องยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยหรือไม่ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยกเลิกแน่นอน โดยเบื้องต้นเรื่องนี้ได้มีการหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. ก็ไม่ได้ขัดข้อง เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเบาลง

 

หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 1 ต.ค. ศบค.ก็ต้องหายไปด้วย และอาจนำพ.ร.บ.โรคติดต่อฯกลับมาปัดฝุ่นใช้ เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งและตั้งให้มีหน่วยงานคล้ายกับ ศบค. เป็นหน่วยงานในการช่วยประสานงานโดยอาจมีการปรับมาเป็นรูปแบบของคณะกรรมการร่วม แต่ข้อสรุปจะต้องรอการประชุมก่อนครบกำหนดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในวันที่ 30 ก.ย.นี้อีกครั้ง แต่แนวโน้มคงจะยกเลิก ด้วยสถานการณ์ต่างๆในประเทศและการเดินหน้าของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อมีคนไข้ในระบบประมาณ 2,000 คน และคนไข้ที่ตรวจพบจากATK อยู่ในระบบวันละประมาณ 30,000 คนและนอกระบบ 1-2 เท่าต่อวัน โดยภาพรวมผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 60,000-70,000 คน และคงที่มาประมาณเกือบเดือน จึงคาดการณ์ว่าอาจจะคงอยู่อีก 1 เดือน และหลังวันที่ 1 ต.ค. น่าจะเริ่มลดลง และคนไข้ที่เข้าโรงพยาบาลน่าจะต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน ถ้าเป็นตัวเลขนี้จะเสียชีวิตประมาณวันละ 10 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ที่จะกลายเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ส่วนการจะเป็นโรคประจำถิ่นจะดูไปอีกสักระยะ

 

นพ.อุดม กล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมในวันนี้จะพิจารณากรอบนโยบายและแผนดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โรคประจำถิ่น เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค.เป็นต้นไป สิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่องใหญ่ คือ เตรียมการให้คนไข้เข้าถึงบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเวลานี้ยังมีเสียงบ่นจากคนไข้ในการพบหมอและรับยา และขอยืนยันว่าเรื่องยาไม่ต้องกังวลยังมีเหลือเพียงพอ ทั้งฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ แต่ปัญหา คือ เรื่องบริหารจัดการบางที่คนไข้มากน้อยต่างกัน และจากนี้จะให้คนไข้รับยาที่ร้านยาในเครือข่ายได้อีกทางหนึ่ง และขณะนี้ 3 กองทุนหลักร่วมเอกชนจัดทำ 3 แอปพลิเคชัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงในกรณีติดเชื้อได้ครอบคลุมทั้งประเทศ คนไข้สามารถเจอแพทย์และรับยาโดยมีบริการส่งถึงบ้านให้เกิดความสะดวก

 

เรื่องที่ 2 คือวัคซีนที่ต้องทำความเข้าใจว่ายังต้องฉีดเข็ม 3 และ 4 เพราะเชื้อBA.4และBA.5 ยังมีความรุนแรง แต่วัคซีนทำให้เกิดภูมิ ดังนั้นควรฉีดเข็มกระตุ้น และขอย้ำว่าไม่ติดดีที่สุด เพราะการติดยังสามารถตายได้ถ้ามีความเสี่ยงและจะมีอาการลองโควิด ซึ่งที่เสียชีวิตปัจจุบัน 60 เปอร์เซ็นต์ไม่ฉีดวัคซีน ส่วนเข็ม5-6 ขอให้บุคคลากรทางการแพทย์เพราะเป็นบุคคลากรด่านหน้า บุคคลทั่วไปยังไม่แนะนำ

 

ขอย้ำว่าประชาชนยังต้องป้องกันตัวเอง โดยการสวมหน้ากากอนามัยยังจำเป็นที่สุด ล้างมือให้บ่อยและเว้นระยะห่าง รวมถึงการปฏิบัติตัวป้องกันโรคแบบครอบจักรวาล