KEY
POINTS
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ประเด็น การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (Creating opportunity for Silver Economy) โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ภาควิชาการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการและภาคประชาสังคม รวมถึงผู้แทนสมัชชาสุขภาพจังหวัด และกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ทั่วประเทศเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (Creating opportunity for Silver Economy) เป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระใน สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 โดยประเด็นนี้มีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการที่จะพลิกโฉมผู้สูงอายุ จากกลุ่มเปราะบางให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งในฐานะผู้บริโภคสินค้าและบริการ และในฐานะแรงงานหรือผู้ประกอบการ
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย เปิดเผยว่า ภายในปี 2576 หรืออีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุถึง 28% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด จึงจำเป็นต้องคิดโจทย์ใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้สามารถสร้างผลิตภาพให้กับประเทศ และมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
“โอกาสที่เห็นได้จากผู้สูงอายุในฐานะผู้บริโภคสินค้าและบริการ พบว่ารายจ่ายเพื่อการบริโภคของผู้สูงอายุ ในปี 2566 มีจำนวน 2.18 ล้านล้านบาท คาดว่าในปี 2576 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านล้านบาท จึงเป็นช่องทางที่น่ามองว่า จะมีสินค้าหรือบริการอะไรที่สามารถเข้ามารองรับ และเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ การออกแบบหรือก่อสร้าง Universal Design สินค้านวัตกรรมทางด้านสุขภาพ ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ เป็นต้น”
ความท้าทายของผู้สูงอายุในฐานะผู้ผลิต เมื่อประชากรมีอายุมากขึ้นแล้วยิ่งมีรายได้น้อยลง โดยพบว่ากว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ หรือ 35.7% มีแหล่งรายได้หลักจากเงินช่วยเหลือของบุตรหลาน จึงต้องมองถึงโอกาสของงานในลักษณะที่ผู้สูงอายุทำได้ เช่น งานที่ปรึกษา งานฝีมือ งานค้าขาย งานบริการ ฯลฯ
รวมถึงงานในกลุ่มอาชีพใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Smart Farmer, Elderpreneur หรือแม้แต่ Granfluencer เป็นต้น โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุ จะเพิ่มขึ้นจาก 6.4 แสนล้านบาทในปี 2566 กลายเป็น 8.8 แสนล้านบาทในปี 2576 หรือขยายตัวเฉลี่ย 3.76% ต่อปี
อย่างไรก็ดี นโยบายด้านสังคมสูงวัยที่ผ่านมา มักจะถูกมองในเชิงของการจัดสวัสดิการ การคุ้มครอง ฯลฯ แต่ยังไม่ค่อยได้มีการมองผู้สูงวัยในฐานะผู้ที่จะเข้ามาเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศมากนัก การทำเรื่องนี้เป็นมติสมัชชาสุขภาพฯ จะช่วยสร้างความตระหนักถึงประเด็นของเศรษฐกิจสูงวัยในวงกว้างมากขึ้น แล้วจะถูกผลักดันไปสู่การทำงานของภาคส่วนต่างๆ”
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายใน 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1. การสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุให้คงอยู่ในตลาดแรงงานและมีรายได้เพียงพอ 2. การผลิตสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 3. การสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ 4. การสื่อสารเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนในเศรษฐกิจสูงวัย
ด้านนายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า กระบวนการพัฒนาประเด็นนี้ได้มีการเดินหน้าทำงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยจัดประชุมไปแล้วหลายครั้งร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. 2568 เป็นต้นมา พร้อมกับมีการจัดเวที Policy Forum เพื่อถกแถลงถึงนวัตกรรมในการรองรับเศรษฐกิจสูงวัย
ก่อนนำมาสู่การร่างข้อเสนอเชิงนโยบายและรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็ได้มีการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนคู่ขนานระดับพื้นที่ โดยพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายประเด็นนี้ผ่านสมัชชาสุขภาพจังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมขับเคลื่อนเป็นพื้นที่นำร่องของการสร้างเศรษฐกิจสูงวัย
ขณะที่ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17-18 กล่าวว่า ความสำคัญของเศรษฐกิจสูงวัยนั้นไม่ใช่เรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่ต้องมองว่าเป็นเรื่องของทุกคน ที่ไม่ว่าใครก็จะต้องเดินมาถึงช่วงวัยดังกล่าว จึงเป็นข้อเสนอที่คนทุกวัยต้องมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ แล้วมารวมแนวคิดให้ข้อเสนอเกิดความหลากหลาย เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย