KEY
POINTS
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับบริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด (GSK) และภาคีเครือข่าย จัดเวทีเสวนาโครงการ Gen ยัง Active 50+ ส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนไทยวัยทำงานและผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือกลุ่ม Gen ยัง Active ให้ตระหนักและใส่ใจสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย พร้อมสนับสนุนให้กลุ่ม Gen ยัง Active มีศักยภาพในการใช้ชีวิตอย่างแอคทีฟ และเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และที่ปรึกษาโครงการGen ยัง Active 50+ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ร่วมกับบริษัท แกล็กโซ สมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด (GSK) ขับเคลื่อนโครงการ Gen ยัง Active 50+ ภายใต้รูปแบบ Public Private Partnership (PPP) พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจด้านการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่และวัย 50+ ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย
เป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ลดความเสี่ยงของโรคและการเจ็บป่วยในอนาคต พร้อมเตรียมพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพสู่การเป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรงและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ยังเป็นการสนับสนุนระบบสุขภาพของประเทศให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะมีบทบาทสำคัญโดยตรงในการเป็นแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกต้อง ร่วมกับ GSK และการสนับสนุนข้อมูลความรู้และความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จากพันธมิตร เช่น กรมอนามัย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เป็นต้น เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ดูแลผู้สูงวัยและคนไทยทุกคน อัปเดตความรู้และสามารถส่งต่อข้อมูลให้ครอบครัวและเพื่อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ช่วยให้คน Gen ยัง Active หรือวัย 50+ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีคุณภาพและมีความสุข เมื่อเข้าสู่สังคมสูงวัย
นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตลอดชีวิต (Life-Course Immunization) เพื่อเป็นเครื่องมือในการปกป้องสุขภาพของประชาชนไทยทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ จนถึงวัยสูงอายุ ผ่านคำแนะนำการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนที่สนใจให้สามารถเข้าถึงความรู้และความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค อันจะช่วยส่งเสริมการตัดสินใจเข้ารับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคอย่างมีข้อมูล
โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงและฟื้นตัวช้า วัคซีนที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุ อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนนิวโมค็อกคัส วัคซีน RSV วัคซีนงูสวัด วัคซีนโควิด-19 และวัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ นอกจากนี้ มิติของ Life-course Prevention สำหรับผู้สูงอายุก็เป็นอีกแนวคิดสำคัญ ครอบคลุมถึงการป้องกันการบาดเจ็บ การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความพิการและการเสียชีวิต ดังนั้น จึงต้องอาศัยมาตรการแบบองร์รวม ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สิ่งแวดล้อม จนถึงระบบบริการสุขภาพ เสริมสร้างระบบสุขภาพที่เข้มแข็งของประเทศ
ทันตแพทย์ณัฐพงค์ กันทะวงค์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยก็มีเป้าหมายส่งเสริมให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตประจำวันได้ด้วยตนเอง อายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยแนะนำให้ผู้สูงอายุหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองตามแนวทางเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ซึ่งเป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพแนวใหม่ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ
อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเวชศาสตร์วิถีชีวิตให้ความสำคัญกับ 6 เสาหลัก ได้แก่ 1. การรับประทานอาหารที่สมดุลและมีโภชนาการเหมาะสม 2. กิจกรรมทางกายเหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3. การจัดการและผ่อนคลายความเครียด 4. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 5. การหลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 6. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติก็ให้ความสำคัญ กับการส่งเสริมความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีน เนื่องจากสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลจากสื่อออนไลน์ที่หลากหลาย และถูกส่งต่อกันในชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ยากต่อการคัดกรอง อีกทั้งยังมีข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือบิดเบือน ถูกเผยแพร่ซ้ำโดยขาดการตรวจสอบรอบด้าน จนทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง อาจทำให้ประชาชนมีความลังเลหรือปฏิเสธการรับวัคซีน จนเสียโอกาสในการป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้
ดังนั้น การป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง จึงจำเป็นต้องอาศัย “ภูมิคุ้มกันความรู้” โดยการรู้เท่าทันและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเชื่อหรือส่งต่อไปยังผู้อื่น เพราะภูมิคุ้มกันความรู้ที่แข็งแกร่ง เปรียบเสมือนการได้รับวัคซีนที่ช่วยปกป้องตนเองและครอบครัว และนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีภูมิคุ้มกันทางความรู้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของสังคมโดยรวม
นายแพทย์วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะเดียวกัน สปสช. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการรองรับสังคมสูงวัยที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มุ่งขับเคลื่อนภารกิจด้านสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งการส่งเสริม การป้องกัน และการดูแลอย่างเป็นระบบ โดย
จัดสรรงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ด้านบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P: Prevention and Promotion) แยกจากงบรักษาพยาบาล เพื่อสนับสนุนการคัดกรองสุขภาพเชิงรุกในผู้สูงอายุ อาทิ ภาวะสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า ความเสี่ยงต่อการหกล้ม รวมถึงสุขภาพช่องปากและสายตา ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงผ่านกองทุนสุขภาพท้องถิ่น และมีผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรม
นอกจากนี้ ยังได้บรรจุวัคซีนที่จำเป็นไว้ในสิทธิประโยชน์ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัว พร้อมทั้งศึกษาและพิจารณาบรรจุวัคซีนใหม่ ๆ ที่เหมาะสมในอนาคต อาทิ วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ วัคซีนงูสวัด และวัคซีน RSV ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคดิจิทัล โดยมีเป้าหมายให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่เพียงเป็นหลักประกันการรักษาพยาบาล แต่เป็นพลังสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี แข็งแรง พึ่งพาตนเองได้ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน
ด้าน รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 1.3 ล้านคน หรือร้อยละ 23.73 ของประชากร ภายใต้นโยบาย “9 ดี 9 ด้าน” ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รศ. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในมิติ “สุขภาพดี” ได้จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ “Active Aging” ครบทั้ง 50 เขต รวม 491 ชมรม มีสมาชิกกว่า 50,793 คน เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพกายและใจ ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังดำเนินโครงการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเชิงป้องกัน เช่น การฝึกกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันการหกล้ม และการฝึกความจำเพื่อลดความเสี่ยงสมองเสื่อม
ผลการดำเนินงานพบว่า ผู้เข้าร่วมมีสมรรถภาพร่างกายดีขึ้นกว่าร้อยละ 70 ด้านการป้องกันโรค กรุงเทพมหานครให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยในปี 2568 มีผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปเข้ารับการฉีดแล้วกว่า 1.9 แสนคน และอยู่ระหว่างพิจารณานำนวัตกรรมวัคซีนใหม่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงในกลุ่มผู้สูงอายุให้มากขึ้น หวังลดความรุนแรงของโรคและภาระการรักษา พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้สูงอายุไม่เพียงแต่อยู่ได้ แต่ยังอยู่ดี มีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงยั่งยืน