KEY
POINTS
ในยุคที่ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ และภาระค่าใช้จ่ายของผู้คนเพิ่มขึ้นทั่วโลก ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์และมีอัตราการเติบโตสูงในธุรกิจนี้ โดยปี 2566 อุตสาหกรรมด้าน Wellness มีมูลค่ารวมราว 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 1.3 - 1.4 ล้านล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของโลก เติบโต 28.4% ขณะที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) มีอัตราการเติบโตสูงสุดครองอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ติดอันดับ 1 ใน 20 ประเทศปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ต บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธุรกิจ Wellness อาจเป็นทางรอดเดียวของประเทศไทยในยุคที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจชะลอตัว การที่ไทยเป็นแชมป์อันดับ 1 และ 2 ของโลกในธุรกิจ Wellness และ Wellness Tourism ทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจและอยากศึกษาว่าประเทศไทยทำอย่างไร จึงทำให้มูลค่าเศรษฐกิจเกี่ยวกับสุขภาพเติบโตได้
แน่นอนว่าปัจจัยบวกและโอกาสที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ มาจากประเทศไทยได้ก้าวเข้าสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าอีกประมาณ 8 ปี ไทยจะเข้าสู่ระดับ “สุดยอด” คือมีคนอายุเกิน 60 ปี เกิน 28% เป็นปัจจัยสำคัญสอดคล้องกับข้อมูลของประชากรโลก ที่เริ่มเกิดการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน, ความดัน, ไขมัน, หัวใจ, เส้นเลือดแตก/ตีบ, มะเร็ง, และโรคเครียด
หากเจาะลึกดูสถิติของสาเหตุการเสียชีวิต ประชากรไทยเสียชีวิตด้วยโรค NCDs สูงถึง 77% คิดเป็น 38,400 คนต่อปี หรือ 44 คนต่อชั่วโมง ซึ่งล้วนเกิดจากการกินไม่ดี นอนไม่ดี ออกกำลังกายน้อย ขี้เกียจ และมีความเครียดสูง ยังมีผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้คนปกติซึ่งมีโรคประจำตัวหรือโรค NCDs แฝงอยู่อาการทรุดหนัก เสี่ยงทำให้เกิดการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า
เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น ความสนใจในธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้นเช่นกัน และปัจจัยบวกสำคัญที่สุดอีกอย่างคือ เทรนด์การป้องกันดีกว่าการรักษา คนเริ่มตระหนักแล้วว่าการป้องกันโรคช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าการป่วยแล้วไปรักษา เพราะถ้าป่วยแล้วจะเสียเงินมาก ถ้าโชคร้ายจะเสียทั้งเงิน ไม่หาย และทรมาน
“ทั้งหมดนี้คือโอกาสของธุรกิจด้าน Wellness ภายใต้แนวคิดใหม่ที่จะใส่ใจในคำว่า Healthspan หรือ การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี ไม่เจ็บ ไม่ป่วย มากกว่า Lifespan (อายุตามบัตรประชาชน) ซึ่งปัจจุบัน Healthspan ของคนไทยเฉลี่ยนอยู่ในช่วงอายุประมาณ 67 ปี ส่วน Lifespan คือ 77 ปี จะสังเกตว่าค่าเฉลี่ยที่ห่างกันนี้ทำให้คนไทยเกือบทุกคนต้องทรมานจากการเจ็บป่วยประมาณ 10 ปี ก่อนเสียชีวิต ฉะนั้นเป้าหมายสูงสุดคือทำให้ Healthspan กับ Lifespan มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน เพื่อให้ผู้คนหลับและเสียชีวิตไปอย่างสบาย ไม่ทรมาน”
ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ประชาชนทุกคนต้องใส่ใจสุขภาพ ต้องนอนดี กินดี อารมณ์ดี และหลีกเลี่ยงสารอันตราย เช่น บุหรี่ เหล้า สุรา ขณะเดียวกันภาครัฐและเอกชนต้องช่วยกันผลักดันด้วยเช่นกัน โดยแกนหลักสำคัญคือภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะต้องปรับโครงสร้างราคาและภาษีเกี่ยวกับธุรกิจด้าน Wellness อย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกาย ใจ และจิต เช่น ขายเครื่องมือออกกำลังกาย, การเปิดค่ายมวย/โยคะ, ค่ายปฏิบัติธรรม, นั่งสมาธิ, ทำสปา สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการยกเว้นภาษี เพราะนับได้ว่าเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างให้ประชาชนมีสุขภาพดี ลดภาระค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณะสุขได้ เหมือนการทำดีต้องได้รับ Incentive หรือรางวัลเป็นแรงจูงใจ ส่วนธุรกิจอันตรายต่อสุขภาพอาจจะต้องเพิ่มกำแพงภาษีให้สูงขึ้น เช่น ในหมวดอาหารที่มีสารอันตรายต่างๆ เช่น สารหนู ตะกั่ว ปรอท รวมถึงภาษีน้ำตาล (Sugar) ภาษีความเค็ม (เกลือ/Salt) ภาษีไขมัน แม้กระทั่งภาษีผงชูรส ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ อยากเสนอนโยบายสุขภาพถึงภาครัฐ ให้พิจารณานำเงินส่วนต่างๆ คืนให้แก่ประชาชนผู้ที่ไม่ใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลในแต่ละปี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะหากคนไทยแข็งแรงจะทำให้รัฐบาลเหลือเงินในระบบสุขภาพเยอะขึ้น ประชาชนก็ได้สุขภาพดี ไม่ต้องได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วย
ยกตัวอย่างในกรณีศึกษา จากผลการดำเนินงานและนโยบายพนักงานของ BDMS Wellness Clinic ที่เติบโตในระดับ 2 ดิจิต เกินกว่าเป้าหมายทุกปี และเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม BDMS โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้เข้ารับบริการเป็นชาวต่างชาติ 60% และ คนไทย 40% ส่วยเป้าหมายในอนาคตปีถัดไปต้องการเร่งเครื่องดันกลุ่มต่างชาติให้ถึง 70% และเป็นคนไทย 30% แต่ในการบริหารมีนโยบายจูงใจพนักงานสุขภาพดี ให้โบนัสแก่พนักงานที่ไม่ป่วย ซึ่งได้ผลตอบรับดีมาก
“จากปีแรกที่ BDMS Wellness Clinic เริ่มนโยบายเรื่องสุขภาพดีได้โบนัส มีพนักงานที่ไม่ป่วยประมาณ 10% ปีที่ 2 (ปี 2567) เพิ่มขึ้นเป็น 25% คาดการณ์สำหรับปีนี้อาจถึง 40% สิ่งนี้คือการผลักดันโมเดล Wellness ให้คนเกิดการแข่งขันกันเพื่อมีสุขภาพดี และจะสามารถนำผลนี้ขายต่อได้ ถึงโมเดล Wellness จะไม่สำเร็จ 100% แต่จะเป็นส่วนหนึ่งให้พนักงงานทุกคนมี Healthy ภายใต้การดูแลของหมอ ทำให้ทุกคนแข็งแรงขึ้น”
นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลจะต้องสร้าง Wellness Tourism และความยั่งยืน (Sustainable/ESG) ให้แข็งแรง แม้นักท่องเที่ยวของไทยในปี 2568 จะลดลงทุกกลุ่มจนทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจไม่คึกคักมากนัก แต่เครื่องยนต์ของ Wellness Tourism ยังไม่ดับลงและมีแนวโน้มเติบโตขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellness ยังคงใช้จ่ายต่อหัว (Spending per head) สูง 50,000 - 60,000 บาท มากกว่านักท่องเที่ยวปกติถึง 4-5 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความรู้สูง รักธรรมชาติ มีแนวคิด Sustainable (ลดโลกร้อน) รักตัวเอง ชอบออกกำลังกาย และสร้างขยะน้อย
โดยเทนรด์ Wellness ในปี 2569 ก็ยังมีทิศทางการเติบโตสูง เช่น เทรนด์ Mental Wellness (สุขภาพจิต) ผู้คนจะแสวงหาประเทศที่สามารถเดินทางไปพักผ่อนเพื่อสุขภาพจิตดี ไปนั่งสมาธิ สงบ เก็บมือถือ ดูแลพลังจิตใจ, Longevity (ความยืนยาวของชีวิต) และ Biological Age ครอบคลุมถึงเรื่อง Genetic, Proteomic, Multiomic, และ Epic Genetic คนอยากรู้ว่าอายุชีวภาพ (Biological Age) ภายในของตนเองนั้นเป็นอย่างไร, AI for Wellness ที่ช่วยวางแผนการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดี, Spiritual Health สุขภาพทางจิตวิญญาณ รวมถึง Wellness Real Estate เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คนทั่วโลกมีความเชื่อมั่น (Trusted) ในแบรนด์ไทย ด้วยจุดแข็งใน 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.ธรรมชาติ (Sea, Sand, Sun) 2.อาหารไทย (เต็มไปด้วยสมุนไพรและ Antioxidant) 3.การบริการแบบไทย (Thai Hospitality) 4. ภูมิปัญญาโบราณ (เช่น นวด ไทย, สมุนไพร ไทย) และ 5.การเป็น Medical Hub รองรับกรณีผู้สูงอายุเจ็บป่วยได้ ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจด้าน Wellness ทำได้ง่าย สามารถผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลาง Wellness Hub ได้ด้วยต้นทุนที่ประเทศอื่นไม่มี