KEY
POINTS
ในปี 2568-2578 แนวโน้มของประชากรผู้สูงอายุในเอเชีย คาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ลำดับถัดมาคือประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ซึ่งจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28% หรือมีประชากรอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20%
ดังนั้น เรื่องการดูแลสุขภาพจึงสำคัญ ทั้งอายุขัย (Lifespan) หรือจำนวนปีทั้งหมดที่บุคคลมีชีวิตอยู่ และเรื่องอายุขัยสุขภาพ (Health span) จำนวนปีที่บุคคลนั้นสามารถมีสุขภาพดี ปลอดโรคเรื้อรังและไม่มีความพิการ โดยคนไทยส่วนใหญ่อาจมีอายุขัยที่นานขึ้นแต่สุขภาพกลับไม่ดีตามอายุขัย เพราะสาเหตุหลักมาจากการป่วยในกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ กลุ่มโรค NCDs
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ต บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า เศรษฐกิจสุขภาพ (Wellness Economy) ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย แนวคิดด้าน Health Span จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญและทำให้เศรษฐกิจสุขภาพโลกเติบโตขึ้น โดย Global Wellness Institute คาดว่า เศรษฐกิจเวลเนสจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 7.3% ในทุกปี เป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่า GDP โลก (4.8%) ตามการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF
จากข้อมูลจะเห็นว่า Wellness Economy มีความสำคัญต่อภาคประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ เป็นเทรนด์ธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง และปัจจุบันผู้ป่วยต้องการทางเลือกในการรักษาที่ดี โดยเทรนด์สุขภาพในปี 2569 ได้แก่
ขณะที่ประเทศไทยมีเสาหลักคือ ธรรมชาติที่สวยงาม อาหารไทย เอกลักษณ์การให้บริการ มีแพทย์แผนไทย และการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ที่ครบวงจร สามารถขับเคลื่อนระบบก้าวไปสู่ Wellness Economy 5.0 ได้
ทั้งด้านข้อมูลสุขภาพ สัญญาณเตือนก่อนเจ็บป่วย การเยียวยารักษา มุ่งพัฒนา Health Span ขับเคลื่อนสุขภาพในยุคใหม่ ด้วยศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจสุขภาพซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก และอันดับ 9 ของเอเชียแปซิฟิก
โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดด้าน Wellness ราว 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 1.31 ล้านล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของโลก เติบโต 28.4% ขณะที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) มีอัตราการเติบโตสูงสุดครองอันดับ 2 รองจากประเทศจีน และเป็น 1 ใน 20 ประเทศปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
“การตกผลึกแนวคิด Wellness Economy ในอนาคตจะมี 3 แกนหลัก คือ 1. Health Span ซึ่งต้องมีความสำคัญยาวนานมากกว่า Life Span 2. การป้องกันดูแลสุขภาพที่จะคุ้มค่ากว่าการรักษา และ 3. ต้องเพิ่มคุณค่าชีวิตมากกว่าแค่เรื่อง Productivity และการลงทุนด้านสุขภาพ จะส่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงมาก หากมองในมุมของการตลาดทุก 1 บาท จะได้กลับมา 35 บาท และหากเป็นนโยบายเชิงป้องกันจะเกิดผลลัพธ์กลับมาถึง 46 เท่า”
สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็น Wellness Hub of the World คือ “ความเป็นเซลส์แมน” ของคนไทยเอง คนไทยต้องดูแลเรื่องสุขภาพของตัวเองได้ จึงจะใช้ธุรกิจนี้ขายให้ชาวต่างชาติได้ ซึ่งภาคเอกชนได้ทำเรื่อง Wellness เยอะมาก แต่ขาดแกนกลางหรือ ธีมหลัก ในระดับชาติจากภาครัฐ เช่น “Wellness Country” หรือ “Wellness Thailand” เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันเป็น Ecosystem ของ Wellness Team Thailand
แน่นอนว่าต้องครอบคลุมหลายองค์ประกอบ เช่น Medical Tourism, ATMPs/Stem cell, กิจกรรมกลางแจ้ง (Hiking, Cycling, Forest bathing), โยคะ/สมาธิ, Aesthetic Medicine, และภูมิปัญญาไทย (นวดไทย, อาหารไทย, มวยไทย)
อย่างไรก็ตาม เรื่อง Wellness ไม่ใช่เรื่องของคนรวยเสมอไป แต่เป็นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการกินดี, นอนดี, ออกกำลังกาย, ไม่เครียด, ไม่สูบบุหรี่, หลีกเลี่ยง PM 2.5 ทุกอย่างจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพได้ แต่การแข่งขันทางด้านธุรกิจในระดับสากล ประเทศไทยก็ต้องก้าวไปสู่ Advanced Wellness เพื่อแข่งกับญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ต่อไป