KEY
POINTS
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลต่อหลอดเลือด หัวใจ ไต ตา และระบบประสาท
แพทย์หญิงนันทิยา ธีระภคนันท์ อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล ให้ข้อมูลว่า “โรคเบาหวาน” แบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่
1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย มักพบในเด็กและวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน
2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): ร่างกายสร้างอินซูลินได้แต่ใช้งานไม่ได้เต็มที่ มักพบในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด
3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes): เกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่วนใหญ่มักหายไปหลังคลอด แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
อาการโรคเบาหวานระยะแรกที่พบบ่อย
ระยะแรกของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยจำนวนมากอาจยังไม่รู้ตัว แต่ร่างกายจะเริ่มส่ง “สัญญาณเตือน” หลายอย่างที่ควรสังเกต ได้แก่
1. ปัสสาวะบ่อย : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้มีน้ำตาลรั่วออกทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมากและบ่อย
2. กระหายน้ำผิดปกติ : เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา
3. หิวบ่อยแต่ น้ำหนักลด : ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ จึงเกิดความรู้สึกหิวบ่อย แม้จะรับประทานมากแต่น้ำหนักกลับลดลง
4. เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง : เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาลอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย
5. แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย : ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง ส่งผลให้แผลหายช้า โดยเฉพาะที่เท้าและขา
6. ตามัว เห็นภาพเบลอ : น้ำตาลในเลือดสูงอาจทำให้ของเหลวเข้าสู่เลนส์ตา เกิดการบวมชั่วคราวและมองเห็นไม่ชัด
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง
วิธีตรวจและวินิจฉัยโรคเบาหวาน
การตรวจหาน้ำตาลในเลือดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การรักษาโรคเบาหวาน
ปัจจุบันโรคเบาหวานยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยแนวทางการรักษาประกอบด้วย
1. การปรับพฤติกรรมและการดูแลตนเอง
2. การใช้ยา
แพทย์จะพิจารณาการให้ยาอย่างเหมาะสม โดยดูหลายองค์ประกอบ ทั้งโรคร่วม และระดับน้ำตาล เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งในแง่การลดน้ำตาลในเลือด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต เช่น โรคไต หรือ โรคหัวใจ
3. การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
แนวทางดูแลตัวเองเมื่อเริ่มมีอาการเบาหวานระยะแรก
1. ปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นหลัก
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที/วัน
3. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
4. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
5. พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น
แนวทางป้องกันโรคเบาหวาน
ทำไมควรตรวจคัดกรองเบาหวานตั้งแต่เนิ่น ๆ
การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ง่ายขึ้น ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตวาย ตาบอด หรือปลายประสาทเสื่อม และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานระยะแรกมักจะไม่มีอาการเลย หากไม่ได้ตรวจร่างกายเป็นประจำก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ เช่น ปัสสาวะบ่อย เหนื่อยง่าย หิวบ่อย ก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีรพดับน้ำตาลที่ค่อนบ้างสูงแล้ว ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพกับแพทย์ เพื่อป้องกันก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง