ปิดสวิตช์ ‘โรคเบาหวาน’ กินแบบไหนทำน้ำตาลพุ่งจนเกิดโรค

14 พ.ย. 2568 | 10:43 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2568 | 10:51 น.

น้ำตาลแฝง-ความเครียด สองภัยเงียบกระตุ้น “โรคเบาหวาน” แพทย์ รพ.วิมุต แนะ ปรับการกิน-ดูแลจิตใจ ก่อนน้ำตาลในเลือดสูงจนเป็นอันตรายจนเกิดโรค

KEY

POINTS

  • "โรคเบาหวาน" ไม่ได้เกิดจากการกินของหวานโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเกิดจาก "น้ำตาลแฝง" ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวขาว น้ำผลไม้ และผลไม้สุกจัด
  • ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลินได้
  • ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของโรคเบาหวาน ได้แก่ พันธุกรรม ภาวะอ้วน การกินอาหารไม่สมดุล การขาดการออกกำลังกาย และการพักผ่อนน้อย
  • การป้องกันทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกิน ลดข้าวขาวและของหวาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก จัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ

ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 3.5 แสนคน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษาแล้ว เพราะความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” อาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ก็เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน

นพ.ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต พหลโยธิน กล่าวว่า การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’ จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะในข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย และความเครียดที่ปัจจัยสำคัญเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ แม้ในวันที่ไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา 

ปิดสวิตช์ ‘โรคเบาหวาน’ กินแบบไหนทำน้ำตาลพุ่งจนเกิดโรค

ฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้นๆ หากมีความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่อง จะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้ นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม ‘กินคลายเครียด’ โหยหาของหวานหรือของมัน และนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำ ซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวม

ประเภทของโรคเบาหวาน

นพ. ชาญวัฒน์ กล่าวว่า โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 

ปิดสวิตช์ ‘โรคเบาหวาน’ กินแบบไหนทำน้ำตาลพุ่งจนเกิดโรค

เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต 

เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด 

เบาหวานชนิดที่ 3 เบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว และสุดท้ายคือ

เบาหวานชนิดที่ 4 กลุ่มเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน"

“ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”

ปิดสวิตช์ ‘โรคเบาหวาน’ กินแบบไหนทำน้ำตาลพุ่งจนเกิดโรค

ปรับพฤติกรรม-ปิดสวิตช์โรคเบาหวาน

สำหรับการป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากการปรับการกิน ลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดี เพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ 

เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาว ที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี โดยวิธีการตรวจที่นิยมคือตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

อีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้ว แม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกายได้